ความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้รับผิดชอบภาระหนี้สินของครอบครัวของ อุทัย ธเนศวรกุล เป็นแรงผลักดันเปิดประวัติศาสตร์น้ำยาล้างห้องน้ำสูตรแรกของไทย สู่ความสำเร็จของวิกซอลบุกเบิกตลาดทำความสะอาดตั้งแต่สุขภัณฑ์ถึงกลุ่มดูแลเสื้อผู้สร้างชื่อ ไฮยีน พร้อมเดินหน้ารีเฟรชแบรนด์ไอวี่ ต่อยอดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มส่งออกต่างประเทศ
เส้นทางธุรกิจที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบของ อุทัย ธเนศวรกุล บุตรชายคนโตเจ้าของกิจการนำเข้าและจัดจำหน่ายยาจากต่างประเทศ ซึ่งถูกเรียกตัวกลับกะทันหันระหว่างกำลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตที่อเมริกากว่า 5 ปี เพื่อช่วยกอบกู้วิกฤตหนี้สินของครอบครัวจำนวน 20 ล้านบาทในวัยไม่ถึง 25 ปี ด้วยความเพียรพยายามทำทุกวิถีทางจนกระทั่ง เล็งเห็นโอกาสใกล้ตัวที่สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะด้านความสะอาดและสุขอนามัยที่ดี “ผมเรียนหนังสือถึงประมาณเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยและไปอเมริกาตั้งแต่อายุ 18 ปี ผมอยู่ประมาณ 5 ปีแม่ก็โทรมาบอกให้รีบกลับมาช่วยทำงานที่บ้าน ตอนนั้นแม่ผมมีหนี้ประมาณ 20 ล้านบาท เราไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่เริ่มจากติดลบ จังหวะชีวิตช่วงนั้นก็รับของมาขายจนปิ๊งไอเดียเรื่องห้องน้ำที่สมัยก่อนเป็นส้วมซึม ซึ่งควรเป็นห้องปลดทุกข์ไม่ใช่อมทุกข์จากกลิ่นเหม็น ด้วยความที่ผมพอจะมีความรู้ด้านเคมีจึงลองผสมสูตรน้ำยาล้างห้องน้ำเอง โดย ไอ.พี. วัน ถือเป็นบริษัทสตาร์ทอัพยุคแรกๆ เพราะเราไม่มีเงินเลย เรามีติดตัวแค่ถังวัตถุดิบไม่กี่ถังนำมาผสมและส่งเอง ซึ่งในช่วง 10 ปีแรกผมหน้ามืดมองอะไรไม่เห็นเลยกว่าจะฟื้นขึ้นมา ผมคิดว่าไม่ใช่เพราะความเก่ง แต่เป็นจังหวะหรือโชคที่วิ่งเข้ามาชน ทำให้เราสามารถขยายตัวต่อเนื่อง” อุทัย ธเนศวรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอ.พี. วัน จำกัด ในวัย 76 ปี เล่าถึงช่วงเวลาการบุกเบิกธุรกิจจากการค้นคว้าทดลองผสมสูตรน้ำยาทำความสะอาดสุขภัณฑ์ ด้วยความเพียรพยายามลองผิดลองถูกอย่างไม่ลดละหรือท้อถอยต่อความล้มเหลว จนกระทั่งได้สูตรที่มีส่วนผสมของกรดไฮโดรคลอริกประสิทธิภาพสูงสูตรแรกของประเทศที่เห็นผลการขจัดคราบสกปรกและกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้อย่างชัดเจนภายใต้ชื่อ “วิกซอล” และสามารถก่อตั้ง ห้างหุ้นส่วน อินเตอร์ โปรดักส์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ในปี 2515 พร้อมทั้งผลิตน้ำยาเคลือบเงาพื้น น้ำยาลอกแว็กซ์ น้ำยาดับกลิ่น และสบู่ล้างมือ โดยเป็นบริษัทแรกของไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถผลิตน้ำยาจากสูตรที่คิดค้นขึ้นเอง “ช่วงแรกๆ ลำบากมาก พนักงานถือตะกร้าขายตามบ้านหนัก เราหาคนทำงานก็ลำบาก และไม่มีโฆษณา ผมเล่นสินค้าที่ยักษ์ใหญ่ไม่เล่น เช่น น้ำยาเคลือบเงา แว็กซ์ ซึ่งอยู่ในกลุ่ม building maintenance ผมทำขายหน่วยราชการ โรงพยาบาล โรงแรม บริษัททำความสะอาด จนช่วงหลังเราสามารถเจาะบริษัททำความสะอาดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยได้และกลายเป็นจุดเปลี่ยน เพราะเขายังนำสินค้าของเราไปขายให้ เป็นตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศและทำให้เราเติบโตขึ้น”

“ไอวี่” เบิกทางธุรกิจ F&B
นับจากบันไดขั้นแรกแห่งการค้นคว้าทดลองกรรมวิธีต่างๆ ในบ้านหลังเล็กที่ใช้เป็นที่พักอาศัยร่วมกับสำนักงานและโรงงานของครอบครัว สู่การเติบโตเป็นอาณาจักรที่มีพนักงานรวมกว่า 1,200 คน ทั้งอาคารสำนักงานใหญ่ที่เริ่มต้นก่อตั้งในปี 2551 และศูนย์กระจายสินค้า รวมถึงโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมเดินหน้าขยายโรงงานพื้นที่ราว 78 ไร่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของบริษัทในอนาคต ขณะที่บริษัทยังมีช่องทางการจัดจำหน่ายครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลีกส่งแบบดั้งเดิม (traditional trade) และร้านค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ (modern trade) เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ และช่องทางพิเศษอื่นๆ โดยสามารถสร้างการเติบโตด้านรายได้ทะยาน 5.3 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 180.4 ล้านบาท ภายใต้สินทรัพย์รวม 2.5 พันล้านในปี 2563 “ธุรกิจของเราเติบโตเป็น double digit ติดต่อกันมากกว่า 5 ปีแล้ว ปัจจุบัน 80% ของการดำเนินธุรกิจของ ไอ.พี. วัน อยู่ที่สินค้าดูแลผ้ายี่ห้อไฮยีน รองลงมาเป็นกลุ่มทำความสะอาดบ้านยี่ห้อวิกซอล, วิซ ตามมาด้วยนมเปรี้ยวไอวี่ที่เราเพิ่งเปิดตัวใหม่ในปีนี้ เรายังคงคาดการณ์ว่าจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง double digit ต่อไปในปีหน้า” อุทัยกล่าวถึงสัดส่วนรายได้ธุรกิจหลักจากผลิตภัณฑ์ไฮยีน ซึ่งสามารถคว้ารางวัลแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ที่ผู้บริโภคเลือกซื้อมากที่สุดในประเทศหรือ Most Chosen Brands ในกลุ่มสินค้าประเภทดูแลบ้าน (home care category) ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 จาก Kantar, Brand Footprint 2021 – Thailand สำหรับรางวัลดังกล่าวเป็นการจัดอันดับแบรนด์ที่ครองใจผู้บริโภคสูงสุดด้วยการวิเคราะห์ Consumer Reach Point หรือ CRPs ซึ่งวัดความแข็งแกร่งของแบรนด์ผ่านจำนวนครั้งของแบรนด์ที่เข้าถึงตัวผู้บริโภค จากทั้งหมด 572 แบรนด์ในกลุ่ม FMCG ครอบคลุมการจับจ่ายของผู้บริโภคทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยไฮยีนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคเลือกซื้อมากที่สุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน 177 ล้านครั้งในปีที่ผ่านมา “น้ำยาปรับผ้านุ่มเริ่มจากการนำเสนอของทีมการตลาดในช่วงที่คู่แข่งมีแต่รายใหญ่ แต่เรามีนักเคมีที่เก่งสามารถคิดค้นผลิตภัณฑ์ขึ้นมาขายได้ ซึ่งความสำเร็จของสินค้าแต่ละอย่างเกิดจากหลายองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของที่ถูกใจคนไทย แพ็กเกจจิ้ง การตลาด และพนักงานของบริษัทเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการสร้างการเติบโต ทุกอย่างต้องพอเหมาะพอเจาะ รวมถึงเราต้องไม่หลอกผู้บริโภค โดยเราถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด คือ ของต้องดี เราจะทำอย่างไรให้สินค้าของเราดีกว่าคนอื่น” ดังนั้น อุทัยจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาและผลิตสินค้าที่มีคุณภาพด้วยการคัดเลือกวัตถุดิบที่ดีที่สุด พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคตลอดระยะเวลาการดำเนินงานเกือบ 50 ปี ส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความพึงพอใจและสนับสนุนผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคที่มีความหลากหลาย โดยเฉลี่ย 5-6 ผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อปี ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทสามารถครองสัดส่วนผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนรวมกันมากกว่า 70% “ตั้งแต่เด็กผมคิดอย่างเดียวว่า ผมต้องการทำธุรกิจที่สามารถขายให้กับผู้คนได้จำนวนมาก ซึ่งก็โชคดีมากที่ได้ทำธุรกิจนี้ และผมตั้งใจในเรื่องคุณภาพของสินค้าตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นธุรกิจ สินค้าจะต้องดีคนใช้จะต้องชอบ ถ้าธุรกิจเกิดปัญหาอะไรขึ้น อย่างไรเราก็ไม่ตาย เมื่อเรากลับมาอีกครั้ง ลูกค้าก็ให้การสนับสนุนหรือการตอบรับเหมือนเดิม ส่วนการที่สินค้าเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเกิดจากคนช่วยกันทำทั้งหมด” นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นการทำธุรกิจแบบยั่งยืน (sustainability) ด้วยการริเริ่มใช้วัตถุดิบที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ (biodegradable) สำหรับผลิตน้ำยาปรับผ้านุ่มไฮยีนเป็นบริษัทแรกของเอเชียตั้งแต่ปี 2532 และได้มีการติดตั้งหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งโรงงาน รวมถึงเลือกใช้พลังงานบริสุทธิ์เพื่อสร้างความยั่งยืนให้โลก ขณะเดียวกันบริษัทได้เดินหน้าแผนงาน “ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น คิดเพื่อโลก” สะท้อนภาพการใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด มุ่งลดและจัดการขยะจากการผลิต โดยการแปรรูปและนำกลับมาใช้อีกในอนาคต ด้วยการจับมือ คอร์สแอร์ กรุ๊ป บริษัทผู้พัฒนาโซลูชันธุรกิจด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีฐานการดำเนินงานทั้งในประเทศไทยและเนเธอร์แลนด์ เพื่อร่วมกันเปลี่ยนขยะพลาสติกและขยะเหลือทิ้งจากการผลิตมาเป็นน้ำมันชีวภาพขั้นสูง (advanced bio-oil) ซึ่งสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงทางเลือกได้ต่อไปในโครงการ ภายใต้เป้าหมาย 18 ตันต่อปี หรือเฉลี่ยเดือนละไม่ต่ำกว่า 1.5 ตันขึ้นไป “ไอ.พี. วัน มีผู้หญิงทำงานจำนวนมากและส่วนใหญ่รักษ์สิ่งแวดล้อม เขาต้องการรณรงค์การนำบรรจุภัณฑ์ของตัวเองมาบรรจุน้ำยาปรับผ้านุ่มและน้ำยาซักผ้าของไฮยีนรวมๆ ประมาณ 8-10 กลิ่น โดยเราได้เริ่มติดตั้งเครื่องเติมน้ำยา 2 เครื่องที่บิ๊กซีและเมกาบางนา เพื่อทดลองตลาดและผลตอบรับจากผู้บริโภค” อุทัยกล่าวถึงโครงการล่าสุดที่สามารถช่วยลดขยะบรรจุภัณฑ์พลาสติกได้ผ่านตู้รีฟิลผลิตภัณฑ์ไฮยีน (Refill Station) ซึ่งเกิดจากแนวคิดของบุคลากรในองค์กรที่ถือเป็นส่วนสำคัญของเบื้องหลังความสำเร็จตลอดเส้นทางของบริษัท ภายใต้ค่านิยมองค์กร 6I ประกอบด้วย Integrity ความซื่อสัตย์ ยึดมั่นคุณธรรม In love รัก หลงใหลในสิ่งที่ทำ Insightful รู้จัก รู้จริง รู้ใจ Innovation สร้างสรรค์นวัตกรรม In-sync รวมพลังหนึ่งใจเดียว และ Into the Future มองอนาคต ทั้งยังให้ความสำคัญกับนวัตกรรมองค์กร โดยลงทุนกับเทคโนโลยีเพื่อช่วยขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานให้คล่องตัวรวดเร็ว พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในอนาคต “พวกเราอยู่กันแบบไม่มีแรงกดดันและสร้างบรรยากาศการทำงานให้สนุก เราไม่เน้นการแข่งขันแต่เน้นการเติบโต โดยพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ หรือปีนี้ต้องดีกว่าปีที่แล้ว แต่ทางทีมจะมีการวางเป้าหมายไว้อย่างน้อย 8-10% และ 1 หมื่นล้านบาทใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งถือว่าท้าทายมาก โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แต่ที่ผ่านมาเรายังสามารถเติบโตได้มากกว่า 10% ต่อปี”
คลิกอ่านบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2564 ในรูปแบบ e-magazine
