เอสซี แอสเสท มีฐานตลาดสำคัญในกลุ่มลูกค้าระดับบนมาตลอด โดยส่วนใหญ่จะเน้นบ้านเดี่ยวราคา 8 ล้านบาทขึ้นไปจนครองมาร์เก็ตแชร์ 20% ในตลาดบ้านหรูราคาสูงกว่า 20 ล้านบาท
แต่เอสซีฯ เริ่มปรับทิศทางใหม่โดยชิมลางมาตั้งแต่ส่งบ้านเดี่ยวราคา 3-5 ล้านบาทแบรนด์ "เพฟ" ลงมาฟาดฟันเมื่อปี 2558 รวมถึงปีที่ผ่านมา เอสซีฯ เติมทาวน์เฮาส์แบรนด์ "เวิร์ฟ" เข้ามาในพอร์ต โดยเป็นทาวน์เฮาส์ราคา 2-3 ล้านบาท
ปีนี้
ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จึงมีแบรนด์ในพอร์ตครบทุกกลุ่มราคาพอที่จะขยายฐานตลาดใหม่อย่างเต็มกำลังเพื่อตอบสนองอุปสงค์ในตลาดกลางถึงล่างนี้ โดยซีอีโอหนุ่มขยายแนวความคิดว่า ในช่วง 3 ปี (2561-63) พอร์ตรายได้ของบริษัทจะมีที่มาจากโครงการแนวราบ 65% คอนโดมิเนียม 30% และอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า เช่น ออฟฟิศบิลดิ้ง 5%
ในกลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบนั้น กลุ่มซัพพลายหลักที่บริษัทพัฒนาจะเปลี่ยนแปลงไป จากปัจจุบันเป็นบ้านราคามากกว่า 20 ล้านบาท สัดส่วน 40% ของพอร์ต
ในปี 2563 เอสซีฯ จะมีฐานใหญ่ของโครงการแนวราบจากโครงการราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท สัดส่วน 30% และราคา 5-8 ล้านบาท สัดส่วน 20% โดยลดสัดส่วนบ้านหรูราคามากกว่า 20 ล้านบาทจะลดเหลือ 25% และอีก 25% นั้นจะยังคงพัฒนาบ้านราคา 8-20 ล้านบาทเช่นเดิม
อีกทั้งจะเริ่มขยายตัวออกจากโซนถนัดคือกรุงเทพฯ ตะวันตก มาเป็นโซนกรุงเทพฯ ตะวันออกให้มากขึ้นตามการเจริญเติบโตของเมือง รวมถึงเริ่มออกต่างจังหวัด เริ่มจากปีนี้ที่จังหวัดฉะเชิงเทราจะเปิดตัวแบรนด์เพฟ 2 โครงการ
ส่วนกลุ่มโครงการแนวสูง ปีที่ผ่านมาเอสซีฯ ประกาศจัดตั้งบริษัทลูกในนาม
บริษัท สโคป จำกัด โดยเอสซีฯ ถือหุ้น 90% ส่วนอีก 10% ถือโดย มยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ และได้มืออาชีพด้านการบริหารโครงการอสังหาฯ
ยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ มาเป็นซีอีโอ บริษัทวางแผนให้ทั้งเอสซีฯ และสโคปพัฒนาคอนโดฯ ในรอบ 3 ปีนี้รวมกัน 11 โครงการ แบ่งสัดส่วนจำนวนโครงการของแต่ละบริษัทราว 50:50
ณัฐพงศ์แจกแจงว่า
สโคปเกิดขึ้นเพื่อเป็นทีมใหม่ในการพัฒนาคอนโดฯ คอนเซปท์ใหม่ ให้ยงยุทธเป็นแม่ทัพการออกแบบ การขาย การตลาดอย่างเต็มที่ในทุกกลุ่มราคาตั้งแต่ 7 หมื่นบาท/ตร.ม. จนถึงกลุ่มซูเปอร์ ลักชัวรี และจะแตกแบรนด์ใหม่ๆ ออกมาไม่ซ้ำกับแบรนด์ของเอสซีฯ เดิม โดยเอสซีฯ เป็นผู้สนับสนุนด้านทีมก่อสร้าง ทั้งนี้ การพัฒนาจะไม่ทับซ้อนดึงลูกค้ากลุ่มเดียวกันเอง
"สโคปพัฒนาได้ทุกเซ็กเมนต์ แต่คาแรกเตอร์จะต่างกับของเอสซีฯ ซึ่งมีคาแรกเตอร์แบบ 'อบอุ่น' ทางสโคปจะดีไซน์ให้มีความ 'ซิ่ง' มากขึ้น" ซีอีโอเอสซี แอสเสทอธิบายเพิ่มเติมว่า
สโคปจะพัฒนาแปลงแรกคือที่ดินหลังสวนเนื้อที่ 2 ไร่ 80 ตร.ว. เยื้องโรงเรียนมาแตร์เดอี คาดว่าจะเปิดตัวได้ต้นปี 2562
แผนการปรับตัวเหล่านี้ของเอสซี แอสเสทมีวัตถุประสงค์เพื่อ
ผลักดันยอดขายและรายได้ให้เติบโตปีละ 20% จากปี 2561 ตั้งเป้ายอดขาย 1.7 หมื่นล้านบาท และเป้ารายได้ 1.7 หมื่นล้านบาท ปี 2563 ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มเป็น 2.4 หมื่นล้านบาท และเป้ารายได้ 2.2 หมื่นล้านบาท
ปี 2561 ลงทุนโครงการใหญ่ที่ดินร้อยไร่
สำหรับปี 2561 ณัฐพงศ์กล่าวว่าเอสซี แอสเสทจะเปิดตัวรวม 19 โครงการ มูลค่า 1.9 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบ 17 โครงการ มูลค่ารวม 1.5 หมื่นล้านบาท และคอนโดฯ 2 โครงการ มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท
โครงการแนวราบปีนี้บริษัทจะเปิดตัวแบรนด์เพฟและเวิร์ฟเป็นหลักสัดส่วน 50% ของทั้งหมด และจะมีกลยุทธ์ใหม่ พัฒนาที่ดินแปลงใหญ่ 2 ทำเลซึ่งเป็นโครงการระยะยาวพัฒนาต่อเนื่องได้ 6-8 ปี ได้แก่
- ทำเลบางกะดี เนื้อที่ 240 ไร่ แบ่งเป็นโครงการย่อย 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,000 ล้านบาท ราคาที่อยู่อาศัยเริ่มต้น 2 ล้านบาท
- ทำเลกรุงเทพกรีฑา เนื้อที่ 115 ไร่ แบ่งเป็นโครงการย่อย 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,000 ล้านบาท ราคาที่อยู่อาศัยเริ่มต้น 3 ล้านบาท
"การซื้อที่ดินขนาดเล็กมีข้อดีที่ความเสี่ยงต่ำและคืนทุนได้เร็ว แต่การซื้อที่ดินแปลงใหญ่แล้วทยอยพัฒนาอาจจะลงทุนสูง ได้ return ช้า แต่เมื่อพัฒนาจนถึงปีที่ 3-4 เราจะเริ่มคุ้มค่า เพราะจะได้เปรียบในการแข่งขันจากส่วนต่างราคาที่ดินที่เราซื้อในราคาเดิม" ณัฐพงศ์กล่าว
ส่วนคอนโดฯ 2 โครงการที่จะเปิดตัว ได้แก่ เซ็นทริค รัชโยธิน ทำเล 150 เมตรจากสถานี BTS รัชโยธิน (ส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่) ราคาเริ่มต้น 3.7 ล้านบาท และ เดอะ เครสท์ สุขุมวิท 23 เตรียมเปิดขายช่วงไตรมาส 4/61 โดยยังไม่เปิดเผยราคา และมีที่ดินอีก 2 แปลงที่อ่อนนุชและหลังสวน (BTS ชิดลม) รอการพัฒนาในปีต่อไป