แผนต่อไปของเอสซี แอสเสท หลังขยับโครงสร้างพอร์ตอสังหาฯ ในมือเจาะกลุ่มตลาดกลางล่างสำเร็จ อีก 5 ปีจากนี้บริษัทจะเดินตามแผน Next Is Now เป้ากำไรสุทธิ 3 พันล้านบาท กระจายความเสี่ยงด้วยรายได้ค่าเช่า-สยายปีกลงทุนในสหรัฐฯ คิดแพ็กเกจบริการเพื่อการอยู่อาศัย
ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปี 2561 ของบริษัท มียอดขาย 15,022 ล้านบาท รายได้ 15,616 ล้านบาท เติบโตขึ้น 25% และกำไรสุทธิ 1,782 ล้านบาท เติบโตขึ้น 42% เทียบปีก่อนหน้า (อย่างไรก็ตาม ยอดขายและรายได้บริษัทในปี 2561 ไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้
อ่านรายละเอียดที่นี่ )
ณัฐพงศ์ยังกล่าวถึงถึงผลการดำเนินงานตามแผนปรับพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ขายของบริษัทไปสู่กลุ่มตลาดแนวราบระดับกลางถึงล่างให้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทที่บุกตลาดด้วยแบรนด์ “เพฟ” ในปี 2561 ที่ผ่านมา สัดส่วนรายได้จากโครงการราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทในพอร์ตแนวราบทั้งหมดของเอสซี แอสเสทเพิ่มขึ้นเป็น 20% เทียบกับปี 2559 ที่เคยมีสัดส่วนเพียง 9%
และจากข้อมูลของ Agency Real Estate Affairs (AREA) พบว่ามาร์เก็ตแชร์ของเอสซี แอสเสทในกลุ่มตลาดแนวราบราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทต่อยูนิตได้เพิ่มขึ้นมาเป็น 6% เป็นอันดับ 4 ของตลาด
ส่วนการจัดสมดุลพอร์ตรายได้เป็นไปตามแผนที่ต้องการให้รายได้มาจากโครงการแนวราบ 60% โครงการแนวสูง 35% และรายได้ค่าเช่าและบริการ 5%
กำไร 3 พันล้าน ผสาน 3 เครื่องจักร แนวราบ-คอนโดฯ-รายได้เช่า
สำหรับแผน Next Is Now ระยะ 5 ปี (2562-66) ของเอสซี แอสเสท ณัฐพงศ์กล่าวว่า มีเป้าหมาย 3 ประการ คือ 1.การเติบโตกำไรที่ 3 พันล้านบาท และรายได้ 2 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2566 2.คุณภาพการก่อสร้างที่ดีขึ้น และ 3.เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นการอยู่อาศัย (Living Solutions Provider)
ณัฐพงศ์แจกแจงว่า
การไปสู่กำไร 3 พันล้านที่โตคู่ไปกับตัวเลขบรรทัดบนสุด จะมาจากรายได้โครงการแนวราบเป็นเครื่องยนต์สำคัญ ตามด้วยรายได้จากการโอนคอนโดมิเนียมที่จะเริ่มเห็นการโอนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 และ Recurring Income หรือรายได้ค่าเช่าที่จะเข้ามา โดยมองว่าจะเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของกำไรทั้งหมดในอนาคต
สัดส่วนรายได้จากโครงการแนวราบราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทจะขึ้นไปที่ 26% ของรายได้จากโครงการแนวราบทั้งหมดภายในปี 2562
โครงการแนวราบนั้นจะยังคงผลักดันการขยายโครงการระดับกลางถึงล่างอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าสัดส่วนรายได้จากโครงการราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทจะขึ้นไปที่ 26% ของรายได้จากโครงการแนวราบทั้งหมดภายในปี 2562 นี้ และ
มีโอกาสไปถึง 1 ใน 3 ในปี 2566 เพราะสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ 6% ที่บริษัทมีในปัจจุบันยังสามารถขยายการแข่งขันได้อีก และยังมีบางทำเลที่บริษัทยังไม่ได้บุกไป เช่น ปีนี้จะมีการเปิดตัวเพฟในกรุงเทพฯ โซนตะวันออก และ จ.ฉะเชิงเทรา
ด้านคอนโดมิเนียมเป็นอีกหนึ่งกลุ่มสำคัญในการทำรายได้ โดยจะมีการโอนกรรมสิทธิ์รายได้คอนโดฯ สม่ำเสมอตั้งแต่ปี 2565 โดยเฉพาะคอนโดฯ ที่ดำเนินการภายใต้บริษัทลูก
บริษัท สโคป จำกัด
ซุ่มซื้ออะพาร์ตเมนต์ใน Boston
อีกส่วนสำคัญในกำไรสุทธิ
ปีนี้เป็นปีแรกที่เอสซี แอสเสทจะมีการลงทุนในต่างประเทศ เตรียมเข้าซื้ออะพาร์ตเมนต์ใน Boston ประเทศสหรัฐอเมริกาในครึ่งปีแรก 2562 มูลค่าการลงทุนราว 25-30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 775-930 ล้านบาท) เพื่อเก็บรายได้ค่าเช่า คาดอัตราค่าเช่าอยู่ที่ 4-5% ต่อปี ไม่นับรวมส่วนต่างราคาที่จะได้รับเมื่อขายออกในอนาคต (Capital Gain)
“ตลาดอะพาร์ตเมนต์อเมริกาโตดีเพราะมีการเช่า โดยเฉพาะเมืองที่มีบริษัทเทคโนโลยีเข้าไปตั้ง จะมีคนทำงานที่ย้ายไปอยู่อาศัยมาก ทำให้เราสนใจ อย่าง Boston เป็นเมืองมหาวิทยาลัย เป็นที่ตั้ง Harvard University ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรแต่การศึกษาก็ยังแข็งแรง
มองระยะยาวเราจะมีการลงทุนในสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ปีละไม่เกิน 30 ล้านเหรียญ อาจจะไม่ใช่ตึกเดียวก็ได้ เป็นตึกเล็กๆ หลายแห่งรวมกันก็ได้ ตรงนี้เป็นการ diversify พอร์ต กระจายความเสี่ยง เพราะขนาดบริษัทเราเริ่มใหญ่ขึ้น” ณัฐพงศ์กล่าว
คิดแพ็กเกจบริการแม่บ้าน-ทำสวน
นอกจากนี้ เอสซี แอสเสทยังต่อยอดอนาคตในมุมของเทคโนโลยีบริการลูกบ้าน ปีก่อนนั้นมีการเปิดตัว
Mr.Holmes หุ่นยนต์ตรวจตราความปลอดภัยที่พัฒนาร่วมกับสตาร์ทอัพจากสิงคโปร์ และนำมานำร่องทดลองใช้ในโครงการของบริษัทที่บางกะดี สำหรับปีนี้ บริษัทเริ่มให้บริการแอพพลิเคชั่น “รู้ใจ” เต็มรูปแบบแล้วในไตรมาสแรก และเตรียมเปิดฟีเจอร์ใหม่ “รู้ใจ Subscription” ให้ลูกบ้านได้ใช้งาน
รู้ใจ Subscription เป็นการจัดแพ็กเกจให้คนอยู่อาศัยด้วยบริการต่างๆ เช่น แม่บ้าน ทำสวน ช่างซ่อม ล้างแอร์ ซื้อของอุปโภคบริโภค “pain ของลูกค้าคือการทำอะไรที่เกี่ยวกับการดูแลบ้านพวกนี้มันเยอะมาก แต่เขาไม่มีเวลาทำ หรือหาคนมาทำให้ไม่ได้ แม้แต่คนอยู่คอนโดฯ จะมีปัญหาเรื่องต้องหิ้วน้ำดื่มหนักๆ ขึ้นห้องเป็นประจำ เราจึงพยายามจะตอบโจทย์นี้” ณัฐพงศ์กล่าว
รู้ใจ Subscription : จัดแพ็กเกจให้คนอยู่อาศัยด้วยบริการต่างๆ เช่น แม่บ้าน ทำสวน ช่างซ่อม ล้างแอร์ ซื้อของอุปโภคบริโภค
โดยแพ็กเกจนำร่องที่จะมีให้ เช่น แพ็กเกจคนอยู่คอนโดฯ แม่บ้าน แถมน้ำแร่และจุลินทรีย์ทำความสะอาด ราคา 1,990 บาทต่อเดือน แพ็กเกจบ้านเดี่ยว แม่บ้านและทำสวน ราคา 2,990 บาทต่อเดือน “ผู้ให้บริการมีทั้งที่เราลงทุนไว้อย่าง Fixzy และพาร์ทเนอร์ เพราะเราทำคนเดียวไม่ได้ อย่างการต่อยอดไปที่การซื้อของเข้าบ้านก็กำลังคุยกับซูเปอร์มาร์เก็ต-รีเทลอยู่ ตอนนี้มองเป้าหมายลูกค้าเริ่มต้นที่ 500 รายก่อน” ทั้งนี้ พาร์ทเนอร์ของรู้ใจ Subscription ที่เข้ามาให้บริการ เช่น De Hygienique, Health at Home, Infinite Landscape, ไดกิ้น, ดุสิตธานี เป็นต้น
แผนปี 2562 ลุยเปิดคอนโดฯ หรู 4 ทำเล
ด้านแผนการดำเนินงานปี 2562 ณัฐพงศ์กล่าวว่า
ปีนี้บริษัทวางเป้าหมายยอดขายที่ 1.9 หมื่นล้านบาท (โต 22%) และเป้าหมายรายได้ 2.2 หมื่นล้านบาท (โต 46%) โดยมีแบ็กล็อก 9,957 ล้านบาท ที่จะโอนในปีนี้ราว 60%
การเปิดตัวโครงการใหม่ ทั้งหมด 13 โครงการ มูลค่ารวม 2.27 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 9 โครงการ มูลค่า 6.5 พันล้านบาท และโครงการแนวสูง 4 โครงการ มูลค่า 1.62 หมื่นล้านบาท เกือบทั้งหมดจะเปิดตัวในครึ่งปีหลัง ยกเว้นคอนโดฯ บนที่ดินหลังสวนที่คาดว่าจะเปิดตัวช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้
เจาะลึกเซ็กเมนต์ที่จะเปิดตัว ปีนี้โครงการแนวราบจะเน้นกลุ่มราคาต่ำกว่า 8 ล้านบาท 70% ของโครงการที่เปิดใหม่ อีก 30% เป็นโครงการราคาสูงกว่า 8 ล้านบาท เนื่องจากในพอร์ตระหว่างขายขณะนี้ของบริษัทมีโครงการระดับกลางบนถึงลักชัวรีเพียงพอ
ปีนี้โครงการแนวราบจะเน้นกลุ่มราคาต่ำกว่า 8 ล้านบาท 70% ของโครงการที่เปิดใหม่ อีก 30% เป็นโครงการราคาสูงกว่า 8 ล้านบาท
ส่วนคอนโดมิเนียม 4 โครงการ ได้แก่
โครงการเดอะ เครสท์ พาร์ค เรสซิเดนซ์ ทำเลห้าแยกลาดพร้าว มูลค่าโครงการ 3.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับ Nishitetsu Group จาก Fukuoka ประเทศญี่ปุ่น ราคาเฉลี่ย 2.3 แสนบาทต่อตร.ม. เปิดตัวเดือนสิงหาคม 2562
โครงการเดอะ เครสท์ อโศก เรสซิเดนซ์ ทำเลซอยสุขุมวิท 23 มูลค่าโครงการ 2.5 พันล้านบาท ราคาเฉลี่ย 2.7 แสนบาทต่อตร.ม. เปิดตัวเดือนกรกฎาคม 2562
โครงการคอนโดฯ ระดับซูเปอร์ลักชัวรี ทำเลหลังสวน มูลค่าโครงการ 10,500 ล้านบาท คาดเปิดตัวปลายเดือนมิถุนายน 2562 พัฒนาภายใต้บริษัท สโคป จำกัด
โครงการทำเลทองหล่อ (ยังไม่เปิดเผยมูลค่าโครงการ) พัฒนาภายใต้บริษัท สโคป จำกัด
ทั้งนี้ คอนโดฯ ระดับลักชัวรีในพอร์ตของเอสซี แอสเสทยังอยู่ระหว่างขายทั้ง 3 โครงการ โดยโครงการพร้อมอยู่ ได้แก่ ศาลาแดง วัน มียอดขายแล้ว 60% บีทนิค สุขุมวิท 32 ยอดขาย 50% ส่วน 28 ชิดลม มียอดขาย 60% (รวมอาคารที่ยังไม่เปิดขาย) โดยโครงการจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ครึ่งปีหลังปีนี้
“ลักชัวรียังขายได้แค่อย่าฝืนธรรมชาติ การปิดการขาย 100% ก่อนตึกเสร็จมันไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับตลาดนี้” ณัฐพงศ์กล่าวปิดท้าย