คนรุ่นใหม่เลือกทาวน์เฮาส์แทนคอนโดฯ-ที่ดินหายาก สองปัจจัยหนุน ‘เอพี' จัดทัพแนวราบ - Forbes Thailand

คนรุ่นใหม่เลือกทาวน์เฮาส์แทนคอนโดฯ-ที่ดินหายาก สองปัจจัยหนุน ‘เอพี' จัดทัพแนวราบ

ช่วงปี 2560-61 ถ้าหากเปิดแผนการเปิดตัวโครงการของเอพี (ไทยแลนด์) จะเห็นได้ว่า พอร์ตแนวราบมีความสำคัญมากขึ้นกับบริษัท และยิ่งในปีนี้ เอพีให้น้ำหนักกับแบรนด์ตลาดกลางถึงกลางล่างสูงขึ้น เพราะปัจจัยที่ดินและพฤติกรรมลูกค้าเริ่มเปลี่ยนไป

เอพีเพิ่งปรับแผนการเปิดตัวโครงการไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยเพิ่มจำนวนโครงการที่เปิดในปี 2561 เป็น 43 โครงการ มูลค่ารวม 64,750 ล้านบาท  ในจำนวนนี้ เฉพาะอสังหาริมทรัพย์แนวราบมีการเปิดตัว 38 โครงการ มูลค่ารวม 39,350 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเมื่อปี 2560 เอพีเองก็ขยายพอร์ตเปิดตัวใหม่โครงการแนวราบมากขึ้นถึง 93% จากปี 2559 แสดงให้เห็นถึงการขยายงานแนวราบอย่างเข้มข้น 2 ปีติดต่อกัน เมื่อเจาะลงในแผนการเปิดตัวโครงการแนวราบปี 2561 ของเอพี จะพบว่าน้ำหนักส่วนใหญ่อยู่ที่ตลาดกลางจนถึงกลางล่าง โดยกลุ่มสินค้าที่เปิดตัวมากที่สุดคือบ้านเดี่ยวแบรนด์ “เซนโทร” ที่วางแผนเปิดตัว 11 โครงการ มูลค่ารวม 12,460 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 32% จากการเปิดตัวแนวราบทั้งหมด และ ทาวน์เฮาส์แบรนด์ “พลีโน่” วางแผนเปิดตัว 13 โครงการ มูลค่ารวม 11,260 ล้านบาท สัดส่วน 29% บ้านเดี่ยวเซนโทรนั้นถือเป็นแบรนด์ล่างสุดของตระกูลบ้านเดี่ยวเอพี ด้วยราคาเริ่มต้น 5-9 ล้านบาท ส่วนทาวน์เฮาส์พลีโน่ก็เป็นแบรนด์บุกตลาดกลางล่างของเอพี จับกลุ่มราคาที่ ต่ำกว่า 2 ล้าน จนถึง 4 ล้านบาท อสังหาฯ แนวราบของเอพีนั้นมีแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักมาตลอดคือ “บ้านกลางเมือง” ซึ่งเป็นทาวน์โฮม 3 ชั้นทำเลใกล้เมืองในราคา 4-15 ล้านบาท ยึดหัวหาดทาวน์โฮมระดับกลางถึงบน แต่เหตุที่ปีนี้เอพีขยายพอร์ตลงมาที่ระดับกลางถึงกลางล่างมากขึ้น ภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) อธิบายว่าเกิดจากสองปัจจัย คือ การขยายทำเลใหม่ๆ ของเอพีมีแนวโน้มออกไปนอกเมืองซึ่งเหมาะกับตลาดระดับกลางถึงกลางล่าง และเพราะกลุ่มลูกค้าเป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้น กำลังซื้อต่อยูนิตจึงอาจจะลดลงจากเดิม
คุณ ภมร ประเสริฐสรรค์
ในแง่ปัจจัยที่ดิน เอพีพยายามจะเปิดตลาดใหม่ๆ เติมโครงการในทำเลที่บริษัทขาดสินค้า และด้วยราคาที่ดินที่แพงขึ้น ที่ดินที่ได้มาก็จะห่างเมืองออกไปมากขึ้น ซึ่งทำให้ต้องพิจารณาแบรนด์โครงการที่เหมาะสมกับที่ดินนั้นๆ “การขยายโครงการเพิ่ม เราดูทำเลเป็นหลักก่อน ทำเลที่ดีดูจากระบบคมนาคมที่เข้าถึง ไม่ว่าจะทางด่วนหรือรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย และเป็นทำเลที่เราต้องการขยายตลาดใหม่ๆ เมื่อได้ที่ดินแล้วเราเห็นว่าตรงนั้นเหมาะกับบ้านเดี่ยวแบรนด์เซนโทรหรือทาวน์เฮาส์แบรนด์พลีโน่มากกว่า ทำให้ปีนี้จำนวนโครงการกลุ่มนี้ดูเยอะขึ้น แต่บ้านกลางเมืองเราก็ยังเปิดอยู่ พลีโน่ถือเป็นแบรนด์ที่มาช่วยขยายตลาดมากกว่า” ภมรกล่าว ทำให้ปีนี้เอพีมีการเปิดตัวในทำเลใหม่ๆ ของบริษัท ในช่วงครึ่งปีแรกมีทำเลไฮไลต์คือย่านรังสิต คลอง 4 และย่านราชพฤกษ์-สวนผัก และในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะบุกหนักทั้งกรุงเทพฯ ตะวันตกและตะวันออก อีกหลายโครงการที่จะเปิดตัวในย่านราชพฤกษ์ และพื้นที่ย่านบางนา รวมถึงกรุงเทพกรีฑา
โครงการ เซนโทร ราชพฤกษ์-สวนผัก เปิดตัวเมื่อไตรมาส 2/61
อีกปัจจัยคือเรื่องกลุ่มผู้ซื้อ เอพีประเมินว่ากลุ่มลูกค้า “New Gen” วัยต่ำกว่า 35 ปีที่ซื้อสินค้าแนวราบของเอพีมีมากขึ้นเป็น 60% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไป “เมื่อก่อนเราเชื่อว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเมื่อจะซื้อที่อยู่อาศัยจะเริ่มจากเลือกคอนโดมิเนียมก่อนแล้วค่อยขยับขยายมาเป็นทาวน์เฮาส์ในภายหลัง แต่ตอนนี้คนรุ่นใหม่มีกลุ่มที่ข้ามมาเลือกทาวน์เฮาส์เลย ยอมอยู่ห่างเมืองออกไป ดังนั้นด้วยกำลังซื้อแล้ว ราคาของพลีโน่จะตอบโจทย์พวกเขามากกว่าบ้านกลางเมือง” ภมรกล่าว ส่วนบ้านเดี่ยวแบรนด์เซนโทรนั้นก็ตอบสนองลูกค้ากลุ่มนี้เช่นกัน เพราะเป็นวัยที่เตรียมมีลูกคนแรกหรือเพิ่งมีลูกคนแรก ขณะเดียวกันก็ยังมีพ่อแม่อาศัยในบ้านหลังเดียวกัน ทำให้ต้องการพื้นที่อยู่อาศัยเพิ่ม แต่ในราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า ดังนั้น นอกจากจะปรับแบรนด์ลงสนามแข่งขันแล้ว ภมรยังกล่าวถึงการปรับสินค้าทั้งตัวบ้าน/ทาวน์โฮมและส่วนกลางของโครงการเองให้เป็น Universal Design คือเป็นมิตรกับเด็กและผู้สูงอายุ เช่น ปรับห้องน้ำชั้นล่างให้มีส่วนอาบน้ำเพื่อลดการใช้บันไดของผู้สูงอายุ หรือปรับขนาดลู่วิ่งรอบโครงการให้กว้างขึ้น เป็นต้น การแข่งขันในตลาดแนวราบระดับกลางถึงกลางล่างปีนี้น่าจะยิ่งดุเดือด เมื่อมีผู้เล่นเข้ามาชิงส่วนแบ่งเพิ่มเช่นนี้