อภิชาติ จูตระกูล  กรุงเทพฯ เปลี่ยน วิถีชีวิตคนเปลี่ยน - Forbes Thailand

อภิชาติ จูตระกูล  กรุงเทพฯ เปลี่ยน วิถีชีวิตคนเปลี่ยน

FORBES THAILAND / ADMIN
23 Dec 2018 | 11:30 AM
READ 7247

การพัฒนาเมืองของกรุงเทพมหานคร หากให้เทียบกับเมืองมหานครแห่งอื่นๆ มองว่าน่าจะมีความใกล้เคียงกับ New York มาก ในแง่ที่ว่าใจกลางเมืองจะมีแต่ตึกสูงซึ่งแน่นมาก และเมื่อออกไปข้างนอกชานเมืองก็เกือบจะเป็นบ้านพักอาศัยทั้งหมด ซึ่งบ้านเราเมื่อมีการพัฒนาระบบรางไปถึงจุดหนึ่งแล้วก็จะคล้ายๆ กัน คือตรงกลางจะเป็นตึกสูง ส่วนชานเมืองออกไปก็จะเป็นหมู่บ้าน เป็นแนวราบ

นั่นคือบริบทเริ่มต้นในวงสนทนาที่ได้พูดคุยกับ อภิชาติ จูตระกูล รองประธานกรรมการ และประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาเมืองกรุงเทพมหานคร และธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่โฉมใหม่ภายหลังการลงทุนโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าเชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพฯ และปริมณฑลกว่า 10 เส้นทางแบบไร้รอยต่อส่งผลให้การพัฒนาเมืองขยายตัวออกไปมากขึ้น

โดยการพัฒนาพื้นที่ใจกลางเมืองจะมีแต่อาคารสูง ขณะที่ที่พักอาศัยย่านชานเมืองส่วนใหญ่จะเป็นบ้านแนวราบ อภิชาติเล่าว่า การพัฒนาระบบรางของไทยมีความล่าช้ากว่าอีกหลายๆ เมืองใหญ่ของโลก เช่น ใน New York มีรถไฟฟ้ามานานแล้ว หรือรถไฟใต้ดินของอังกฤษก็ทำมา ตั้งแต่ปี 1800 หรือกว่าหลายร้อยปีมาแล้ว ซึ่งต้องยอมรับว่า เมื่อระบบเขาทำมานานแล้วก็ต้องมีความเก่าแก่ ทางเดินค่อนข้างเล็กและแคบมาก แต่ก็ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

หากพิจารณาถึงระบบรางของหลายๆ ประเทศ จะพบว่ามีการวางผังค่อนข้างดี เช่น New York ค่อนข้างครอบคลุมมากกว่า เพราะว่ามีคนใช้กันจำนวนมาก ส่วนที่อังกฤษสามารถกระจายและครอบคลุมไปได้หลายสถานที่ หรือแม้แต่ Tokyo เอง ก็ค่อนข้างดีมาก และประชาชนก็พึ่งพาระบบรางกันจำนวนมาก

ขณะที่การพัฒนาระบบรางในกรุงเทพฯ เพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นานมานี้ ทำให้มีความกว้างขวางกว่าเมื่อเทียบกับที่ New York ซึ่งเมืองไทยยังพึ่งพาระบบรางน้อยเกินไปนั่นเป็นเพราะมีความล่าช้ากว่า แต่เชื่อว่ายังสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ โดยปัจจุบันประเทศไทยอยู่ระหว่างการขยายเส้นทาง และทำให้ในอีก 5-7 ปีข้างหน้า จะเกิดเป็นรูปร่างใยแมงมุมอยู่ใน ขณะเดียวกันจะมีรถไฟฟ้าความเร็วสูงขยายออกไปต่างจังหวัดมากขึ้นด้วย

บ้าน-คอนโด เป็นเรื่องของวัย

แม้การพัฒนาระบบรางเชื่อมโยงการเดินทางในมหานคร จะมีความสำคัญ แต่อภิชาติมองว่าการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าให้ครอบคลุมยังไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม

เพราะคนที่อยากมีบ้านก็ยังต้องการซื้อบ้านเช่นเดิมส่วนคนรุ่นใหม่จะต้องการอยู่คอนโดมิเนียมมากขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่ ไม่อยากอยู่บ้าน ไม่ต้องการใช้พลังงานเพื่อดูแลบ้านมากนัก ทำให้คนรุ่นใหม่ที่อยู่ในวัยทำงานจะเล็งไปที่การอยู่อาศัยในแบบคอนโดมิเนียม และยิ่งอยู่ใกล้กับระบบรางก็ยิ่งดีเพราะเดินทางสะดวก ขณะที่กลุ่มคนมีกำลังซื้อมากขึ้น มีอายุมากขึ้น มีความต้องการสร้างครอบครัว ก็อยากอยู่บ้านมากกว่า

ดังนั้น โครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวราบและแนวสูงจะยังเติบโตควบคู่กัน โดยบ้านสามารถเติบโตได้หากระบบรางขยายเส้นทางออกไปนอกเมืองมากขึ้น ผู้ที่มีกำลังซื้อและสามารถอยู่นอกเมืองได้ก็จะเลือกซื้อบ้าน ซึ่งความต้องการของผู้อยู่อาศัยมักจะแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงชีวิต (stage of life) หรือช่วงวัยของคน โดยคนรุ่นใหม่ชอบใช้ชีวิตอิสระ

แน่นอนว่าคอนโดมิเนียมจะอยู่ในเมืองเป็นหลัก ส่วนการพัฒนาชานเมืองจะเป็นแนวราบ ซึ่งจะยังคงเป็นเช่นนั้น แต่ผู้ที่อยู่อาศัยชานเมืองเมื่อเดินทางเข้ามาทำงานในเมือง แม้จะอาศัยรถไฟฟ้าก็ตาม แต่ก็ยังต้องใช้เวลานานมากกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง เนื่องจากระยะทางที่ไกลกว่า แต่หากเทียบกับการเดินทางด้วยรถสาธารณะประเภทอื่น รถแท็กซี่หรือรถตู้ การโดยสารด้วยรถไฟฟ้าก็จะมีความสะดวกมากกว่าและแน่นอนว่าปลอดภัยกว่าด้วย

เทรนด์คนโสดสูงวัยอยู่คอนโดฯ

ความต้องการที่อยู่อาศัยในปัจจุบันมีทั้งคอนโดมิเนียม สำหรับผู้ที่ต้องการอาศัยในเมือง และโครงการแนวราบ รวมถึงเทรนด์ใหม่อย่างผู้สูงอายุที่เริ่มสนใจพักอาศัยในคอนโดมิเนียมมากขึ้น โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียว เพราะพวกเขาเห็นว่า บ้านจะดูแลยาก และการอยู่คนเดียวในบ้านอาจไม่ปลอดภัย

ขณะที่การอยู่คอนโดมิเนียมเหมือนกับได้แชร์ค่าใช้จ่ายในการดูแลบ้าน และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอดเวลาหรืออย่างน้อยยังมีเพื่อนบ้านสามารถช่วยเหลือได้

เรื่องนี้นับเป็นความท้าทายของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเปลี่ยนไปตามเทรนด์นิยมด้วย เราต้องไม่หยุดนิ่ง พยายามพัฒนาให้เข้ากับกาลเวลา เพราะเมื่อเวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยนไปเช่น เราพยายามที่จะพัฒนานวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง เพราะเราเชื่อว่าเมื่อเทรนด์เปลี่ยน เราจะไม่สามารถยืนอยู่เฉยๆ หรือปล่อยไปได้ ไม่เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาจริงเราจะกลับตัวไม่ทันบริษัทจึงนำนวัตกรรมต่างๆ จากต่างประเทศเข้ามาใช้มากขึ้น

ส่วนการพัฒนาโครงการแสนสิริได้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของกลุ่มผู้บริโภค เช่น ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการมีชีวิตอิสระในเมือง ก็ออกแบบฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์กลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์เหมือนกัน พวกเขาสามารถแชร์พื้นที่ส่วนกลางร่วมกับผู้อื่นได้ จึงต้องการพื้นที่ส่วนกลางที่มีขนาดใหญ่

ด้านเทคโนโลยี แสนสิริเริ่มทำแอพพลิเคชั่นในมือถือให้ลูกค้าสามารถบริหารด้านค่าใช้จ่าย และอื่นๆ ผ่านแอพลิเคชั่นได้มากขึ้น เพื่อช่วยเตือนความจำ อำนวยความสะดวกในการบริหารชีวิตส่วนตัว พยายามนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยเหลือลูกบ้าน รวมทั้งการใช้ big data ให้เป็นประโยชน์ทั้งข้อมูลการซื้อขายคอนโดมิเนียม บ้านเเละส่วนช่วยในการเลือกทำเล รวมไปถึงการคาดการณ์เทรนด์ต่างๆ ซึ่งก็ทำมาได้ระยะหนึ่งแล้ว

ในบทสรุปของการสนทนาวาระกรุงเทพฯ โฉมใหม่ในอีก 7-10 ปีข้างหน้า เมื่อการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ ขยายออกไปครอบคลุมจากใจกลางเมืองถึงปริมณฑลนั้น อภิชาติย้ำว่า ภาพของกรุงเทพฯ จะเปลี่ยนไปแน่นอน และวิถีการใช้ชีวิตของผู้คนก็จะเปลี่ยนไปด้วย แน่นอนว่าเมื่อโดยสารรถไฟฟ้าจะมีความตรงเวลามากกว่าเสียเวลาไปกับรถติดบนท้องถนน ดังนั้น การไม่ตรงต่อเวลาตามนัดหมายจะไม่สามารถอ้างเรื่องรถติดได้อีกแล้ว

กรุงเทพฯ กำลังจะก้าวสู่เมืองมหานครของโลกจากการส่งเสริมของระบบราง นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็ต้องพัฒนาตัวเอง พร้อมรับกับทุกการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมออภิชาติกล่าวทิ้งท้าย

  เรื่อง : อนัญชนา สาระคู คลิกอ่าน  “อภิชาติ จูตระกูล  กรุงเทพฯ เปลี่ยน วิถีชีวิตคนเปลี่ยน” ฉบับเต็ม ForbesLife Thailand ฉบับพิเศษ November 2018