อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ พร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ระดมทุนขยายสาขา-ชำระหนี้-ซื้อเครื่องจักร - Forbes Thailand

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ พร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ระดมทุนขยายสาขา-ชำระหนี้-ซื้อเครื่องจักร

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ประกาศความพร้อมเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ คาดเสนอขาย IPO ไตรมาส 3 ปีนี้ หวังระดมทุนขยายสาขา-ชำระหนี้-ซื้อเครื่องจักร

กฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM เปิดเผยว่า จากการดำเนินงานมา 25 ปีของบริษัทฯ ในฐานะผู้นำธุรกิจร้านค้าปลีกของตกแต่งบ้านครบวงจร โดยบริษัทฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างความพึงพอใจสูงสุดต่อลูกค้า จึงขอประกาศความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หลังได้รับการอนุมัติจากสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (...) เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) และเข้าตลาดหลักทรัพย์ (SET) ในช่วงไตรมาส 3/62

การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนนำเงินที่ระดมทุนได้ไปใช้ในการขยายสาขา Index Living Mall เพิ่มอีก 1 สาขา ที่ .จันทบุรี ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนกรกฎาคมนี้ นอกจากนี้ ยังมีแผนเปิดร้านค้าปลีกภายใต้ชื่อแบรนด์ Winner แห่งแรกที่ .ราชบุรี โดยเป็นร้านที่มีขนาดพื้นที่ 1,500 ตารางเมตร เน้นสินค้าราคาย่อมเยากว่าสินค้าใน Index Living Mall ประมาณ 15-25% เจาะกลุ่มตลาด mass คาดว่าสามารถเปิดให้บริการได้ในเดือนกันยายน 2562”

กฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ

กฤษชนก กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ยังมีแผนนำเงินระดมทุนไปใช้ในการปรับปรุงภูมิทัศน์ของสาขาเดิม, ติดตั้ง Solar Rooftop เพิ่มเติม ซึ่งเป็นแนวทางการลดค่าใช้จ่ายของเรา ขณะเดียวกันยังจะใช้เงินเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานและเครื่องจักรให้ทันสมัย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรับรองการผลิตสินค้าแบรนด์ Younique รวมถึงชำระคืนเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทฯ ด้วย

ข้อมูลจาก บมจ.อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ระบุว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 2,525 ล้านบาท ซึ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 505 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตีตราไว้ (PAR) หุ้นละ 5.00 บาท ซึ่งเป็นทุนชำระแล้ว 2,000 ล้านบาท เป็นหุ้นสามัญจำนวน 400 ล้านหุ้น ทั้งนี้ หุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ไม่เกิน 105 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 20.79 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้

ปัจจุบัน บมจ.อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ มีร้านค้าปลีกในประเทศไทย 4 แบรนด์หลักด้วยกัน คือ Index Living Mall, Trend Design, BoConcept และ Momentous ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกระดับ ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง ครอบคลุมหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสาขา 36 สาขา ภายใต้แบรนด์ Index Living Mall และ Index Furniture Center ซึ่งครอบคลุม 21 ทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีร้านค้าตัวแทนจำหน่าย 25 ร้านค้า ครอบคลุมหลายจังหวัดในหัวเมืองรอง รวมถึงยังมีเครือข่ายร้านค้าปลีกในต่างประเทศผ่านรูปแบบตัวแทนจำหน่ายและแฟรนไชส์ จำนวน 17 ร้านค้าใน 7 ประเทศ

บริการเฟอร์นิเจอร์สั่งตัด “Younique Cuztomized Furniture 4.0”

กฤษชนก กล่าวว่า ธุรกิจอื่นของบริษัทฯ ยังมีการจำหน่ายสินค้าเฟอร์นิเจอร์ให้กับลูกค้าโครงการ เช่น ดีเวลอปเปอร์อสังหาริมทรัพย์, สำนักงาน, โรงพยาบาล, โรงเรียน เป็นต้น และมีการรับจ้างผลิต (OEM) ด้วย

เอกลักษณ์ ปัทมสัตยาสนธิ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายพัฒนาธุรกิจ บมจ.อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เปิดเผยว่า นอกจากธุรกิจค้าปลีกแล้ว บริษัทฯ ยังมีธุรกิจให้เช่าและบริการพื้นที่เช่าภายใต้แบรนด์ The Walk, Little Walk และ Index Walk รวม 9 สาขา นอกจากนี้ เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังเปิดตัวบริการ “Younique Cuztomized Furniture 4.0” ซึ่งเป็นบริการเฟอร์นิเจอร์สั่งตัดที่ลูกค้าสามารถปรับแต่งขนาดและดีไซน์ได้อย่างอิสระ

เอกลักษณ์ ปัทมสัตยาสนธิ

เราคิดว่าในอนาคต บริการเฟอร์นิเจอร์สั่งตัด Younique น่าจะเป็น product champion ตัวใหม่ เพราะเรายังเป็นรายเดียวและรายแรกที่เข้ามาทำตลาดนวัตกรรมตัวนี้ ซึ่งนวัตกรรมนี้จะทำให้เราเปิดตลาดใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคย เช่น กลุ่มลูกค้า built-in และสร้างการเติบโตในอนาคตให้กับเราได้ โดยหลังจากเปิดดำเนินการมาก็ได้รับการตอบรับที่ดี

ขณะที่ กนกวรรณ ศรีมณีศิริ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายบัญชี-การเงินและบริหาร-พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ บมจ.อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้ 9,658 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 3.3% โดยสัดส่วนรายได้มาจากร้านค้าปลีก 77%, งานโครงการ 12%, รายได้จากการให้บริการพื้นที่เช่า 4.3% และรายได้จากการขายและบริการอื่น 6.3%

ขณะที่กำไรสุทธิก่อนหักขาดทุนอยู่ที่ 593 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง (2559-2561) 10% ทั้งนี้ รายได้ระหว่างกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัดมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ส่วนรายได้จากต่างประเทศในปี 2561 ลดลง เนื่องจากมีการปิดสาขาที่มาเลเซียไป เพราะผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

กฤษชนก กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับปีนี้ตั้งเป้าเติบโตเท่าๆ กับปีก่อน คือราว 3% ส่วนการแข่งขันมองว่าไม่สูงมาก เนื่องจากมีผู้เล่นรายใหญ่อยู่ไม่กี่ราย และไม่มีผู้เล่นรายใหม่เข้ามา ขณะเดียวกัน จากภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มซบเซา แต่เนื่องจากยอดขายของบริษัทฯ ไม่ได้อิงกับตลาดอสังหาฯ และลูกค้าของบริษัทฯ มีทั้งกลุ่มบ้านเก่าและบ้านใหม่ในสัดส่วนที่เท่ากัน ซึ่งลูกค้าที่เป็นบ้านเก่ายังสามารถมาซื้อเฟอร์นิเจอร์ได้ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีช่องทางการขายหลากหลาย และมีลูกค้ากลุ่มโครงการและสำนักงานด้วย

  รายงานโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator  
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine