รุ่น 3 แห่ง “ซอโสตถิกุล” ขอพิสูจน์ฝีไม้ลายมือผนึกกำลังฝ่ายผลิตและการตลาด ปรับภาพลักษณ์รองเท้านันยางให้ทันสมัยครองใจคนรุ่นใหม่ ปักหลักเบอร์หนึ่งในไทยพร้อมหมายมั่นขยายส่วนแบ่งตลาดต่างประเทศ
รองเท้าผ้าใบนักเรียนพื้นยางสีเขียวซึ่งผลิตจากยางพาราอันเป็นเอกลักษณ์ของนันยางจำนวนหลายร้อยคู่แขวนอยู่บนราวล้อเลื่อนในโรงงานเนื้อที่ราว 20 ไร่ ย่านบางแค ซึ่งมีกำลังการผลิตรองเท้าผ้าใบและรองเท้าแตะรวมกันกว่า 50,000 คู่ต่อวัน โดยมี 2 ผู้บริหารหนุ่ม ชัยพัชร์ ซอโสตถิกุล วัย 37 ปี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางอุตสาหกรรม จำกัด และ จักรพล จันทวิมล วัย 32 ปี ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกันผลักดันธุรกิจที่มีอายุกว่า 60 ปี และมีพนักงานรวมกันทั้งสองบริษัทราว 1,000 คน ให้รุดหน้า
ส่วนผสมอันลงตัวของคนรุ่นใหม่ทั้งชัยพัชร์ จักรพล และรุ่น 3 คนอื่นๆ ส่งให้นันยางเริ่มคิดถึงการสร้างแบรนด์ให้สดใหม่และมองหาความเป็นไปได้ในการออกผลิตภัณฑ์เพิ่ม
“บางคนบอกว่านักเรียนเป็นกลุ่มที่ทำการตลาดได้ง่าย แต่พวกเราคิดว่ากลุ่มนี้ไดนามิคที่สุด เดี๋ยวนี้เด็กไม่ตื่นมาเปิดทีวีดูการ์ตูนตอนเช้า แต่เปิดอินเทอร์เน็ตดูแทน คนที่เคยใส่เราเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตอนนี้เขาก็อายุ 30-40 ปี แต่นันยางยังต้องซ้ำชั้นอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเราต้องรีเฟรชตัวเองตลอดเวลา” คือมุมมองของจักรพล
แตกไลน์สินค้าครองใจตลาด
สองผู้บริหารนันยางให้ตัวเลขว่าตลาดรองเท้านักเรียนมีมูลค่าราว 5 พันล้านบาท แบ่งเป็นรองเท้าผ้าใบราว 60% (3 พันล้านบาท) รองเท้านักเรียนหญิง 35% และอื่นๆ 5% โดยนันยางเป็นเจ้าตลาดรองเท้าผ้าใบนักเรียน ครองสัดส่วน 40% มีคู่แข่งรายสำคัญคือแบรนด์โกลด์ซิตี้และแบรนด์เบรกเกอร์
นันยางที่อยู่ในธุรกิจรองเท้านักเรียนมานานพบว่าส่วนมากผู้ใช้จะไม่ซื้อรองเท้า 2 แบรนด์ เมื่อซื้อแล้วก็จะสวมใส่ระยะยาวและจะซื้ออีกครั้งในปีการศึกษาถัดไป ดังนั้น วิธีเดียวที่จะเพิ่มยอดขายหรือเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้คือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย
ชัยพัชร์และจักรพลจึงแบ่งนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ มัธยมศึกษา ซึ่งนันยางมีส่วนแบ่งราว 70% การจะดึงตลาดอีก 30% เข้ามาเพิ่มน่าจะเป็นไปได้ยาก ขณะที่กลุ่มนักเรียนชั้นประถมศึกษาใส่รองเท้านันยาง 20-30% โอกาสที่จะเติบโตจึงมีอีกมาก ในที่สุดก็เปิดตัวรองเท้าผ้าใบสำหรับเด็กอายุ 6-9 ปีรุ่น นันยาง แฮฟ ฟัน (Nanyang Have Fun) ในปี 2557 ชูจุดเด่นที่สวมใส่สบาย มีสีสัน พร้อมกล่องรองเท้าลวดลายน่ารัก
เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลกลุ่มนักเรียนหญิง พบว่าสวมใส่รองเท้าผ้าใบนันยางสีขาวราว 40% นันยางจึงพัฒนารองเท้าที่ตอบโจทย์กลุ่มนี้นั่นคือออกแบบให้สามารถใส่เรียนหรือใส่เที่ยวได้โดยที่ยังคงถูกระเบียบ ผลลัพธ์คือรุ่น นันยาง ชูการ์ (Nanyang Sugar) ซึ่งปล่อยสู่ตลาดในปี 2559 พื้นรองเท้าด้านในมีสีสันมาพร้อมโบว์หลากสีที่เปลี่ยนเป็นเชือกผูกรองเท้าได้ในวันที่ใส่เที่ยว
แม้นันยาง “รุ่นหลาน” จะมีความเคลื่อนไหวด้านผลิตภัณฑ์อย่างคึกคัก ทว่า ทั้งชัยพัชร์และจักรพลก็กล่าวอย่างหนักแน่นว่า นันยางบริหารงานแบบอนุรักษนิยม “สินค้าของเราช้าแต่ชัวร์ ออกขายปีนี้ ปีหน้าและปีต่อๆ ไปก็ยังต้องขายได้ เราเป็นสินค้าฟังก์ชั่นไม่ใช่สินค้าแฟชั่น เรื่องสินค้าแฟชั่นให้คนอื่นเขาทำดีกว่าเพราะเราไม่ถนัด” ชัยพัชร์เน้น
นันยางยังพารองเท้าก้าวออกไปรุกตลาดต่างประเทศ อาทิ เมียนมา ซึ่ง ตราช้างดาว เป็นเจ้าตลาดรองเท้าแตะในเมียนมาด้วยส่วนแบ่งตลาด 20% ปัจจุบันนันยางส่งออกรองเท้าผ้าใบและรองเท้าแตะไป 10 ประเทศหลัก ได้แก่ เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น มีประเทศในเอเชียใต้และตะวันออกกลางบ้างเล็กน้อย

คลิกอ่านฉบับเต็ม "ก้าวที่แกร่งแห่งนันยาง" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ กุมภาพันธ์ 2560


