การเบนเข็มเส้นทางธุรกิจเช่ารถยนต์ระยะสั้นรุ่นบุกเบิกสู่การให้บริการสัญญาเช่ารถยนต์เพื่อการดำเนินงานเจาะกลุ่มองค์กรยุคแรกของไทยและขยายธุรกิจรถมือสอง พร้อมส่งต่อความเชี่ยวชาญให้คลื่นลูกใหม่ใช้เป็นกุญแจเร่งเครื่องสร้างความต่างและยกระดับการบริการตอบดีมานด์รับเทรนด์โลก
รอยทางการขับเคลื่อนธุรกิจที่ได้รับการต่อยอดอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มต้น ห้างหุ้นส่วนจำกัด กรุงไทยคาร์เร้นท์ โดย ไพฑูรย์ และวิภาพร จันทรเสรีกุล ซึ่งเล็งเห็นโอกาสการให้บริการเช่ารถยนต์ระยะสั้น เป็นบริษัทรถเช่ารายแรกๆ ของประเทศบนถนนอโศก-ดินแดงในปี 2523 และจดทะเบียนเป็นบริษัทครั้งแรกในปี 2535 พร้อมบุกเบิกตลาดบลูโอเชียนในการให้บริการเช่าทรัพย์สินประเภทรถยนต์เพื่อการดำเนินงาน (operating lease) ทั้งในระยะปานกลางถึงระยะยาวไม่เกิน 3 ปี และระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี ซึ่งมุ่งเน้นกลุ่มองค์กร เช่น หน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชน ตลอดจนลูกค้าบุคคลทั่วไป
“คุณพ่อมีความเชี่ยวชาญในการดูรถ ซ่อมรถ และทำกิจการแท็กซี่ให้เช่า ก่อนจะเริ่มต้นธุรกิจให้เช่ารถระยะสั้น และเปลี่ยนเป็น operating lease รายแรกๆ จากลูกค้ามาขอให้ทำและเราก็มองว่าดี เพราะการบริหารจัดการไม่ง่ายสำหรับคนทั่วไปและรายได้นิ่งกว่าเช่าระยะสั้น โดยสมัยก่อนเราทำงานข้างล่าง นอนข้างบน ถ้าว่างเมื่อไรคุณพ่อก็ให้ผมและพี่ชายเข้ามาที่ออฟฟิศตั้งแต่เรียนมัธยม และช่วยงานเต็มตัวช่วงมหาวิทยาลัย ทั้งทำการตลาด และคุยกับลูกค้าเอง ทำให้ซึมซับการทำธุรกิจและเข้าใจระบบบริหารจัดการหรือไฟแนนซ์ต่างๆ จนเข้ามาสานต่อธุรกิจและเห็นโอกาสการต่อยอดธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำจากสัญญาเช่าระยะยาวสำหรับองค์กรและวันนั้นผู้เล่นยังมีไม่มาก”
พิชิต จันทรเสรีกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส จำกัด (มหาชน) หรือ KCAR กล่าวถึงความมุ่งมั่นตั้งใจสืบทอดกิจการรถเช่าของครอบครัวด้วยการศึกษาปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และเริ่มต้นทำงานด้านการตลาดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถนำมาปรับใช้ในการบริหารอาคารสำนักงานของครอบครัวได้ รวมถึงสั่งสมความรู้ความเข้าใจในระบบการบริหารจัดการและการประเมินผลจากการทำงานในบริษัทเกี่ยวกับรถยนต์ประมาณ 2-3 ปี จึงศึกษาต่อปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ University of Toledo ประเทศสหรัฐอเมริกา และเริ่มต้นทำงานในธุรกิจครอบครัวอย่างเต็มตัวในปี 2543
“คุณพ่อพูดเสมอว่า ท่านทำธุรกิจให้ลูกหลานเป็นฐานให้แล้ว ที่เหลือขึ้นอยู่กับการต่อยอดของเรา ซึ่งหลังจากเรียนจบคุณพ่อให้เราออกไปเรียนรู้การทำงานข้างนอกก่อนจะได้เข้าใจความรู้สึกของทีมงานและเห็นมุมมองความเป็นมืออาชีพมากขึ้น โดยพี่ชาย (พิเทพ) ให้เรากลับมาช่วยงานช่วงที่ยังไม่ฟื้นจากต้มยำกุ้ง เพราะถ้ากลับมาในช่วงที่ง่ายอาจจะไม่ได้เรียนรู้อะไร ซึ่งวันนั้นรถเรามีประมาณ 500 คัน และลูกค้าเป็นคนติดต่อเข้ามา เราจึงเริ่มการตลาดแบบ knock door ประมาณ 1 ปี จนสามารถวางระบบและสร้างจุดขายที่มีความแตกต่างได้ รวมทั้ง เรื่องการเงินที่เรายังตามชำระอยู่ทำให้ทุกไฟแนนซ์สนับสนุนเรา เพียงแต่สถาบันการเงินมีความระมัดระวังขึ้น ทำให้เราเริ่มหาลูกค้ากลุ่มใหญ่และเป็นบริษัทแรกๆ ของคนไทยที่มีเกณฑ์พิจารณาเครดิต พร้อมกับปรับการบริการ เพราะไม่ต้องการแข่งด้านราคา”
หลังการผนึกกำลังของทายาทร่วมกันบริหารสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถเพิ่มจำนวนรถยนต์ให้เช่ากว่า 1,700 คันในปี 2546 และแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนในปีถัดมา พร้อมเดินหน้านำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2548 เพื่อขยายธุรกิจทั้งการให้บริการสัญญาเช่ารถยนต์เพื่อการดำเนินงาน (operating lease) บริการเช่าระยะสั้น (short term rental) ไม่ว่าจะเป็นการเช่าแบบรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน
นอกจากนั้น บริษัทยังได้จัดตั้งบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท กรุงไทย ออโตโมบิล จำกัด ซึ่งประกอบกิจการจำหน่ายและรับซื้อรถมือสองภายใต้โปรแกรมมาตรฐาน “Toyota Sure” เพื่อรองรับการจำหน่ายรถยนต์ที่ครบกำหนดสัญญาเช่าของบริษัทในปี 2548 ด้วยความมุ่งมั่นในการให้บริการอย่างครบวงจร โดยมีรถยนต์ที่ได้มาตรฐานและหลากหลายรุ่นให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นรถขนาดกะทัดรัด รถประหยัดน้ำมัน รถขนาดกลาง รถผู้บริหาร และรถอเนกประสงค์ (SUV) รถพิกอัป และรถตู้โดยสารขนาด 11 ที่นั่ง เป็นต้น พร้อมทั้งศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศ ศูนย์คอลเซ็นเตอร์ 24 ชั่วโมง บริการซ่อมบำรุง บริการต่อประกันรถยนต์และประกันบุคคลที่ 3
“การก้าวกระโดดของเราเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนจากการเช่าระยะสั้นเป็นระยะยาวและการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2548 ซึ่งช่วยยกระดับมาตรฐานการทำงานของเรา และทำให้เรามั่นใจในการขยายธุรกิจจากการที่ได้เห็นงบการเงินชัดเจนทุกเดือน โดยในปีเดียวกันเรายังเริ่มเป็นดีลเลอร์รถแบรนด์ Toyota Sure ทำให้เรามีระบบมากขึ้น know-how กว้างขึ้น และ network ดีขึ้น ซึ่งตั้งแต่เราเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ผลประกอบการของเราดีมาตลอด โดยตั้งแต่สมัยคุณพ่อเราไม่ได้เน้นการเติบโตอย่างรวดเร็วแต่เป็น optimum หรือจุดที่เหมาะสมที่สุด ถ้าเติบโตเร็วแต่คุมความเสี่ยงไม่ได้หรือความเสี่ยงสูงนั่นไม่ใช่สไตล์ของครอบครัวเรา เพราะเราต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน”
ถอดโมเดลต่อยอดบริการเหนือระดับ
ภายใต้แนวทางการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืนได้รับการถ่ายทอดเป็นเสมือนคู่มือการขับเคลื่อนอาณาจักรที่ได้รับการวางรากฐานอันแข็งแกร่ง ด้วยจำนวนรถปล่อยเช่าประมาณ 9,000 คัน และฐานผู้ใช้บริการมากกว่า 1,200 บริษัท แบ่งเป็นภาคเอกชน 85% ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ 15% โดยมีศูนย์บริการ (เปิดเครดิต) มากกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งยังเป็นแบรนด์รถมือสองระดับพรีเมียมของไทยที่ครองยอดขายอันดับ1 ของ Toyota Sure
ขณะเดียวกันบริษัทยังสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปีด้วยรายได้จำนวน 2.28 พันล้านบาท และเงินปันผล 5.7% ในปี 2565 โดยมีกำไรสุทธิช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้จำนวน 132.1 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 32.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งยังมีความสามารถในการทำกำไรสูง ไม่ว่าจะเป็นอัตรากำไรขั้นต้น อัตรากำไรสุทธิ ROA และ ROE รวมถึง D/E Ratio ต่ำกว่า 2 เท่า
“นับตั้งแต่เข้าตลาดฯ เราไม่เคยขาดทุนและมีเงินปันผลทุกปี 4.9-8.3% ซึ่งช่วงครึ่งปีแรกเราทำได้ค่อนข้างดี ต้นทุนรวมลดลง กำไรเพิ่มขึ้นสวนทางตลาดที่คาดการณ์ว่า ธุรกิจรถเช่าปีนี้น่าจะขาดทุนจากราคาขายรถมือสองที่ลดลง แต่การขายรถมือสองของเรายังคงเติบโตทั้งด้านปริมาณและกำไรต่อหน่วย เนื่องจากสินทรัพย์รถให้เช่าของเรามีสภาพคล่องสูงและคุณภาพสินทรัพย์ดี โดยรถยนต์ 70% มีอายุระหว่าง 1-3 ปี และคิดค่าเสื่อมแบบ conservative โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของเรายังเป็น fixed rate ที่ 85% และระยะเวลาส่วนใหญ่ตรงกับระยะสัญญาเช่า ซึ่งปัจจุบันเรามี market cap สูงสุดสูงสุดในกลุ่มธุรกิจเดียวกันที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเรายังได้เรตติ้งสูงสุดที่ A- พร้อมทั้งเข้าร่วมการต่อต้านทุจริต (CAC) และได้ 4 ดาวจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่องการกำกับดูแลกิจการ (CG)”
พิชิตยังตอกย้ำกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทที่มุ่งเน้นสร้างความแตกต่างด้านการบริการให้มีความโดดเด่น โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางและให้ความสำคัญกับพันธมิตรทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร ผู้ผลิตรถยนต์ ตัวแทนจำหน่ายรถใหม่ ผู้ประกอบการรถมือสอง รวมถึงการนำเสนออัตราค่าเช่าที่เหมาะสม พร้อมทั้งปรับตัวตามสภาวการณ์ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
“เราต้องบริการที่ดีกว่าและแตกต่างจากคู่แข่ง เช่น การเพิ่ม mobile service ให้บริการถึงสถานที่แม้จะเช่ารถคันเดียว ทำให้ลูกค้าไม่ต้องนำรถเข้าศูนย์ ด้วยนโยบายการมองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ทำให้เรามีการปรับแพ็กเกจค่าเช่าและเงื่อนไขการบริการให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละราย โดยเรายังเน้นการสร้างพันธมิตรทั้งไฟแนนซ์ ผู้ผลิตรถยนต์ และตัวแทนจำหน่ายรถแบรนด์ต่างๆ ซึ่งช่วยแนะนำลูกค้าให้เรา โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญเป็นการคิดอัตราค่าเช่าที่เราไม่ได้บอกว่าถูกหรือแพงที่สุด แต่เราพิจารณาให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า รวมทั้ง เราปรับตัวตามสภาวะเศรษฐกิจและสภาวการณ์ได้รวดเร็ว เช่น การให้บริการรถ EV ซึ่งเราเริ่มขยับเข้าไปและทำตลาดอย่างระมัดระวัง”
สำหรับแผนกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทได้รับการกำหนดแนวทางไว้อย่างชัดเจนด้านการบริหารลูกค้า การบริหารต้นทุนและพนักงาน โดยการบริหารลูกค้ามุ่งเน้นการรักษาฐานลูกค้าเดิมและเพิ่มลูกค้าใหม่ ด้วยการเพิ่มทีมดูแลลูกค้าและใช้ระบบ CRM เพิ่มมิติการให้บริการครอบคลุมยิ่งขึ้น รวมถึงให้คำแนะนำผลิตภัณฑ์และการบริการใหม่ เช่น รถ EV ทดลองขับ 1-3 วันไม่มีค่าใช้จ่าย สัญญาให้เช่ารถ EV ราคาพิเศษ รถมือสองสัญญาระยะสั้น 1-3 ปี เป็นต้น
ขณะที่แผนกลยุทธ์การดำเนินงานของรถมือสองแบ่งเป็นการบริหารระบบงานขายและช่องทางจำหน่าย ซึ่งใช้แนวทางการบริหารงานขายแบบเข้มข้นและกลยุทธ์ flexible pricing โดยรถรุ่นเดียวกันหรืออายุรถเท่ากันอาจจะตั้งราคาที่เหมาะสมแตกต่างกันตามสภาพรถ พร้อมเพิ่มประสิทธิงานขายได้ด้วยการใช้ระบบ CRM ดูแลลูกค้าครอบคลุมความต้องการครอบคลุมทุกมิติ
นอกจากนั้น บริษัทยังใช้กลยุทธ์การขายแบบเต็นท์รถหรือ fighting brand สำหรับรถสภาพค่อนข้างใหม่หรือไม่ต้องเก็บสภาพมาก เนื่องจากรถยังมีประกันอยู่ทำให้สามารถตั้งราคาได้ไม่ต่างจากเต็นท์มากนัก และการเพิ่มยอดขายผ่าน multiple payplan หรือมาร์จิ้นผสมผสานส่วนลด เพื่อสร้างแรงจูงใจพนักงานขายที่มีความสามารถ รวมทั้งการเพิ่มช่องทางจำหน่ายจากเว็บไซต์เดิมที่มีอยู่ให้แพลตฟอร์มสามารถทำการจองและอาจจะจำหน่ายได้ในอนาคต พร้อมเพิ่มทีมออนไลน์และฝึกอบรมการทำออนไลน์เพิ่มคุณภาพทุกช่องทาง เช่น TikTok, YouTube
อย่างไรก็ตาม พิชิตยังมั่นใจในกุญแจสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถสร้างการเติบโตกว่า 30 ปี พร้อมขับเคลื่อนต่อบนเส้นทางแห่งความยั่งยืนในอนาคต ด้วยทีมงานและผู้บริหารที่มีประสบการณ์บริหารงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความมุ่งมั่นในการให้บริการและความพร้อมปรับตัวอย่างรวดเร็ว ภายใต้การบริหารองค์กรตามเป้าหมายที่เหมาะสมและวิสัยทัศน์การเป็นบริษัทรถเช่าชั้นนำของประเทศที่มุ่งเน้น Service and Quality Excellence
“เรามักจะบอกทีมงานเสมอว่า การทำงานต้องมีความต่อเนื่องและการบริการลูกค้าไม่มองแค่ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยความรู้ความสามารถของผู้บริหารและทีมงานของเราที่มี service mind และสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งธุรกิจของเราเน้นการเติบโตอย่างสมดุลเหมาะสม และวิสัยทัศน์ที่มองธุรกิจนี้เป็นธุรกิจบริการไม่ใช่ธุรกิจการเงิน ทำให้โครงสร้างองค์กรของเรามีความแตกต่าง เช่น การซ่อมบำรุงมี mobile service การมีเครือข่ายบริการทั่วประเทศมากที่สุด และช่างเทคนิคของเราที่มีความรู้ทั้งรถยนตัสันดาปและรถไฟฟ้า โดยเป้าหมายส่วนตัวเราต้องการให้ KCAR เป็นบริษัทที่สืบทอดต่อไปเกินรุ่น 2 ทำให้เราเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว”
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : จักรกฤต เบเนเดทตี้ ขยายน่านน้ำใหม่ “อิตาเลเซีย”