บททดสอบความสามารถการพลิกโฉมกิจการเครื่องเขียนและกิ๊ฟต์ช็อปของทายาทรุ่น 3 ผนึกกำลังแสดงฝีมือคลื่นลูกใหม่รับโจทย์ยกระดับร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์สัญชาติไทยสร้างแบรนด์โมชิ โมชิ พร้อมปลดล็อกยอดขายทะยานต่อเนื่องมากกว่า 3 พันล้านบาท
ภายในร้านที่มีสินค้าหลากหลายตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่เป็นเพียงหนึ่งในผลงานการร่วมขับเคลื่อนพัฒนาธุรกิจครอบครัวของทายาทรุ่น 3 ซึ่งได้รับการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ให้เติบโตใต้ร่มไม้ใหญ่จากรากแก้วอันแข็งแกร่งและมั่นคงตั้งแต่เริ่มต้นบุกเบิกกิจการร้านเครื่องเขียนและกิ๊ฟต์ช็อป “พร้อมภัณฑ์” ย่านฝั่งธนในปี 2516 และได้รับการสานต่อโดยทายาทรุ่น 2 ขยายธุรกิจร้านค้าส่งแบบดั้งเดิม “บีกิฟท์” ในตลาดสำเพ็งเมื่อปี 2543 พร้อมตกแต่งและยกระดับมาตรฐานสร้างความแตกต่างจากร้านค้าทั่วไปทำให้ได้รับความนิยมและสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“อากง อาม่าเป็นคนจีนต้องการเห็นลูกมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ทำให้คุณพ่อแป้ง คุณอาสง่า และพี่น้องรุ่น 2 เข้ามาช่วยงานที่ร้านพร้อมภัณฑ์จนถึงปี 2530 เราเริ่มมีร้านของตัวเองชื่อ Gift Corner โดยแป้งเกิดในปี 2528 เป็นช่วงที่คุณพ่อ คุณแม่เปิดร้านขายของ ก่อนจะขยายโรงงานพลาสติก และซื้อสินค้าลิขสิทธิ์เพิ่มมูลค่าสร้างความแตกต่าง ซึ่งสามารถขยายสาขา 4-5 สาขาทั่วสำเพ็ง ทำให้เราเห็นครอบครัวขยันทำงานมาตลอด และคลุกคลีอยู่กับลูกค้า เซลส์หน้าร้าน ซัพพลายเออร์จนซึมซับเรื่องการค้าขาย โดยช่วง ม.ปลาย คุณพ่อ คุณแม่ส่งเราไปเรียนที่สิงคโปร์เพื่อให้ได้ภาษาจีนและทุกปิดเทอมเรายังกลับมาช่วยงานการจัดซื้อตั้งแต่อายุ 15 หลังเรียนจบจึงได้รับมอบหมายให้อยู่ฝ่ายจัดซื้อต่างประเทศเต็มตัว”
ณัฐา บุญสงเคราะห์ (แป้ง) ประธานเจ้าหน้าที่สายงานจัดหาและกระจายสินค้า บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI กล่าวถึงความมุ่งมั่นสานต่อความยั่งยืนอาณาจักรในฐานะบุตรสาวของ สมชาย บุญสงเคราะห์ กรรมการบริหาร และ มัณฑนา อัศวเมธา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้วยการเริ่มต้นทำงานในธุรกิจครอบครัวเป็นคนแรกในกลุ่มทายาทรุ่น 3 พร้อมทั้ง พลอยนภัส บุญสงเคราะห์ (เอิน) ผู้อำนวยการฝ่ายจัดหาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นบุตรสาวของ สง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร่วมให้สัมภาษณ์การผนึกกำลังกันยกระดับความแข็งแกร่งทางธุรกิจ
“รุ่น 3 มีทั้งหมด 6 ท่าน ฝั่งคุณพ่อสมชายจะเป็นแป้งและน้องชายที่ยังไม่ได้เข้ามาในส่วนของ Moshi ส่วนคุณอาสง่ามีคุณอ๋อง คุณเอิน คุณแอ๋ม และน้องสาวอีกคนยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ซึ่งในเจน 3 เราอายุมากที่สุดและเข้ามาดูธุรกิจเดิมตั้งแต่ Gift Corner โดยทำงานในแผนกจัดซื้อและฝ่ายขายที่เป็นหัวใจของธุรกิจจนถึงอายุ 29-30 ปี เป็นยุคของสินค้าไลฟ์สไตล์ได้รับความนิยมมากในต่างประเทศ ซึ่งเราเชื่อมั่นในศักยภาพของเราที่มีความเข้าใจคนไทยและมั่นใจว่าสู้ได้ โดยช่วงนั้นคุณเอิน คุณอ๋อง และคุณแอ๋ม เรียนจบกลับมา ครอบครัวจึงให้รับโปรเจกต์ใหม่ ซึ่งคุณเอินและคุณอ๋องเข้ามาบุกเบิก Moshi ตั้งแต่ทำ research พรีเซนต์โปรเจกต์ และก่อตั้งร้านในปี 2559”

ณัฐาย้ำความมั่นใจในความพร้อมนำกลุ่มทายาทรุ่น 3 ขับเคลื่อนธุรกิจภาคต่อ ด้วยความรู้ด้านพาณิชยศาสตร์ และการบัญชี ภาคภาษาอังกฤษ (เอกบัญชี)มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บวกกับประสบการณ์ด้านการจัดซื้อและการขาย เป็นพื้นฐานการดำเนินธุรกิจที่ช่วยให้เข้าใจผลิตภัณฑ์ ความต้องการของผู้บริโภค แหล่งผลิตสินค้า และการคำนวณต้นทุนราคารวมถึงช่วงเวลาจำหน่ายที่เหมาะสม พร้อมให้ความสำคัญกับคุณภาพและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง
ส่วนพลอยนภัสสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สาขานิเทศศาสตร์ (เอกลูกค้าสัมพันธ์) มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยมีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Management หรือ CRM) และการบริหารจัดการประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience Management หรือ CXM) รวมถึงประสบการณ์ทำงานฝ่ายขายและจัดหาผลิตภัณฑ์ ซึ่งสามารถปรับใช้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าไลฟ์สไตล์และการสร้างความพึงพอใจให้ผู้ใช้บริการได้
“เอินอยู่ที่ร้านช่วยขายของตั้งแต่เด็ก อย่างช่วงสิ้นปีมีจัดนาทีทองก็ไปช่วยเรียกลูกค้า หรือปิดเทอมก็ไปดูของต่างประเทศเหมือนคุณแป้ง ทำให้เราซึมซับและเข้าใจธุรกิจ ซึ่งหลังเรียนจบเราเข้ามาทำงานที่ Moshi ทันที โดยคุณพ่อให้ดูหน้าร้าน HR และจัดซื้อ ซึ่งเราสามารถนำ customer journey มาใช้จัดการร้านให้ดูน่าสนใจ และทำให้ลูกค้าเพลิดเพลินกับการเลือกสินค้าในร้าน รวมถึงการบริการที่เราต้องเทรนพนักงาน ขณะที่คุณแป้งเปิดสาขา เอินช่วยตามเทรนพนักงานสาขา โดยร่าง script ให้พนักงานพูดตั้งแต่ทักทายเข้าร้าน การชำระเงิน วางสินค้า ออกจากร้าน และทีมหลังบ้านให้บริการหลังการขาย เช่น ลูกค้ามีปัญหา เราจะตอบอย่างไร”

พลอยนภัสกล่าวถึงการมีส่วนร่วมรับโจทย์การแจ้งเกิดแบรนด์ร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ “Moshi Moshi” ด้วยการมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์คุณภาพที่มีความหลากหลายและฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ในราคาจับต้องได้ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตและครอบคลุมทุกความต้องการผู้บริโภค พร้อมสร้างความแตกต่างผ่านคอนเซปต์ Let Us Be Parts of Your Everyday Life โดยสะท้อนชัดตั้งแต่วันแรกที่เปิดสาขาร้านย่านสำเพ็งและแพลทินัม แฟชั่น มอลล์ ประตูน้ำ ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม แบรนด์ค้าปลีกน้องใหม่ต้องเผชิญความท้าทายการช่วงชิงพื้นที่ทำเลทองในศูนย์การค้าที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบททดสอบครั้งใหญ่ที่ทายาทต้องจับมือกันแก้โจทย์ยาก ด้วยกลยุทธ์ธุรกิจป่าล้อมเมืองเปิดสาขาต่างจังหวัดสร้างชื่อและฐานความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากสาขาเทอร์มินอล 21 โคราช และสาขาเสรีลำปางในปี 2559
นอกจากนั้น บริษัทยังเดินหน้าขยายสาขาต่างจังหวัดในภูมิภาคต่างๆ โดยสาขาแพชชั่น ระยอง เป็นสาขาแรกของภาคตะวันออก สาขามาร์เก็ตวิลเลจ หัวหิน เป็นสาขาแรกของภาคตะวันตก และโลตัส กระบี่ เป็นสาขาแรกของภาคใต้ จนกระทั่งสามารถเปิดสาขาในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้สำเร็จ พร้อมเพิ่มสาขาต่างจังหวัดครอบคลุมการเข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว
“แป้งรับโปรเจกต์เป็น head ของ product development และ merchandise วางคอนเซปต์สินค้า mood & tone ญี่ปุ่น โดยแป้งจะไปกับคุณเอินดูหน้าร้าน วางอะไรชั้นไหน ทำ market research และวางแผนให้ใครทำอะไร จนกระทั่งเปิดร้านสำเร็จ ซึ่งผลตอบรับเกินความคาดหวัง แต่การเปิดสาขาในศูนย์การค้าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเรายังไม่เป็นที่รู้จักมากพอ เราจึงเริ่มขยายจากต่างจังหวัดด้วยการใช้ digital marketing ทำให้เกิดการแชร์ทางโซเชียลมีเดีย ภาพการวิ่งต่อแถว 200-300 คิวหน้าร้านถึงหูนายห้างต่างๆ จนกระทั่งเข้าตาห้างใหญ่ในกรุงเทพฯ ดังนั้น ช่วงยากที่สุดเป็น 2 ปีแรกแต่สนุกมาก เวลาสนใจทำเลไหนเราจะไปนับ traffic ตั้งแต่เช้า เพราะแต่ละเวลาหรือแต่ละห้างมีคาเร็กเตอร์ต่างกัน” ณัฐากล่าว

สำหรับในปัจจุบันบริษัทสามารถขยายสาขารวม 175 สาขา ครอบคลุม 63 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ ร้านค้าปลีกแบรนด์ Moshi Moshi จำนวน 168 สาขา โดยแบ่งเป็นรูปแบบสแตนอโลน จำนวน 7 สาขา ร้านค้าส่งแบรนด์ Moshi Moshi จำนวน 2 สาขา และร้าน Garlic 3 สาขา ซึ่งมุ่งเน้นจำหน่ายสินค้าแฟชั่น เครื่องตกแต่งบ้าน และผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ภายใต้คอนเซปต์ “Chic & Cool” รวมถึงร้านค้าส่ง Giant 1 สาขา จำหน่ายสินค้ากลุ่มเครื่องเขียน กระเป๋า และของใช้ในบ้านที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน และราคาย่อมเยากว่าการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ และเพิ่มแบรนด์ร้านค้าส่ง The OK Station มุ่งเน้นสินค้าเครื่องเขียน ของใช้ในบ้าน ของตกแต่ง และอื่นๆ จำนวน 1 สาขา (ข้อมูล ณ ไตรมาส 1 ปี 2568)
นอกจากนั้น บริษัทยังมีสินค้าหลากหลายที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม 13 กลุ่ม ได้แก่ เครื่องใช้ในบ้าน กระเป๋า เครื่องเขียน ตุ๊กตา ของใช้แฟชั่น อุปกรณ์เสริมความงาม เครื่องแต่งกาย เครื่องสำอาง อุปกรณ์ด้านไอที ของเล่น อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง และหมวดอื่นๆ โดยรวมจำนวนสินค้ากว่า 25,000 รายการ (SKUs)
“รุ่น 2 ไม่ต้องการให้เราเข้ามาในมุมของการสานต่อธุรกิจ แต่ต้องการให้เรียนรู้ตั้งแต่เริ่มต้น โดยการเปลี่ยนจาก B2B เป็น B2C สามารถทำได้ทันที เพราะเรามี source ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพาร์ตเนอร์ ซัพพลายเออร์ ห้างร้านต่างๆ ที่เรารู้จัก ซึ่งเราช่วยกันวางคอนเซปต์ให้ร้านออกมามีความเป็นญี่ปุ่นและเน้นสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันจึงคิดสโลแกน Let Us Be Parts of Your Everyday Life สินค้าดีไซน์สวย คุณภาพดี ราคาเข้าถึงได้ โดยเป็นดีเอ็นเอของ Moshi ในปัจจุบัน พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับพฤติกรรมผู้บริโภคพัฒนาสินค้าและช่วยกันสร้าง S-Curve ใหม่ ซึ่งเป็นความคาดหวังของรุ่น 2 ให้สานต่อธุรกิจและต่อยอดการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยยังคงรักษาคุณค่าแบรนด์ของเราไว้” พลอยนภัสกล่าว
รุกขยายสาขาตอบดีมานด์
ท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจและการแข่งขันในตลาดค้าปลีกที่เพิ่มสูงขึ้น แต่บริษัทยังสามารถสร้างผลงานเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2567 ด้วยรายได้รวม 3.13 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 520.68 ล้านบาท พร้อมทำสถิติยอดขายต่อเนื่องในไตรมาสแรกปี 2568 จำนวน 838.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.3% และกำไรสุทธิ 156.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) อัตราเติบโต 7.9%
นอกจากนั้น ปัจจัยหนุนการเติบโตของบริษัทช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ การออกสินค้าคอลเล็กชั่นลิขสิทธิ์ใหม่ เช่น คอลเล็กชั่น Moo Deng คอลเล็กชั่นลิขสิทธิ์ค่าย Disney และการนำเสนอไอเท็มของใช้ต่างๆ ในราคาที่จับต้องได้ โดยมีสินค้าใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า ด้วยความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านดีไซน์ ราคา และรูปแบบสินค้าที่เหมาะกับทุกเทศกาลตลอดปี รวมถึงการให้ความสำคัญกับการตกแต่งร้านให้ดึงดูดกลุ่มลูกค้า เพื่อสร้างความประทับใจและเพิ่มอัตราการกลับมาซื้อซ้ำ
“การเติบโตปีนี้เราวางเป้าหมายไว้ 15-20% และต้องการสื่อสารภาพความเป็นแบรนด์ไทยที่สร้างสรรค์สินค้าไลฟ์สไตล์ดีไซน์สวย คุณภาพดี ราคาเข้าถึงได้ พร้อมตอบโจทย์หลากหลายของกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งเราวางกลยุทธ์ขยายสาขาปลายปีให้มีจำนวน 200 สาขา และแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกเดือน รวมถึงมุ่งเน้นเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์ eco-friendly ในราคาจับต้องได้ สุดท้ายเรื่อง shopping experience หรือ customer journey ที่เราให้ความสำคัญในทุก touch point ของลูกค้า โดยเราพัฒนา visual merchandising การออกแบบหน้าร้านให้ดึงดูดลูกค้าทั้งแสง สี เสียง ทำให้ลูกค้ารู้สึกสนุกในการเลือกสินค้า และการจัดวางผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงการให้บริการก่อนและหลังการขาย”
พลอยนภัสกล่าวถึงกลยุทธ์ธุรกิจในปีนี้ที่มุ่งเน้นการขยายสาขาในพื้นที่ที่มีศักยภาพการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ไฮเปอร์มาร์เก็ต และสาขาสแตนด์อโลน โดยเฉพาะทำเลใกล้มหาวิทยาลัย และ pilot project สาขาขนาดใหญ่พื้นที่ 300 ตารางเมตรขึ้นไปในเขตชุมชน รวมถึงแผนออกสินค้าใหม่กว่า 1,000 รายการต่อเดือน ทั้งกลุ่มสินค้า license และ non-license พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคผ่านกลยุทธ์การนำเสนอสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันที่โดดเด่นด้วยการออกแบบสวยงามในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม
“จุดแข็งหลักของเรานอกจากเรื่องผลิตภัณฑ์ เรายังเป็น data driven company ที่มีการมอนิเตอร์ performance รายวัน เช่น ยอดขายสินค้าใหม่เป็นอย่างไร ปัญหาอะไรส่งผลกระทบต่อเป้าหมายองค์กร เราต้อง action ทันที ถ้าสินค้าไหนขายดีเราต้องรีบผลิตให้ทัน ทำให้ไม่เสียโอกาส และเราต้องติดตามเทรนด์ใหม่ตลอด เพราะเราเป็น lifestyle shop ต้องสามารถตอบสนองเทรนด์ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงทีมซัพพลายเชนที่ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยเรามีดีไซเนอร์และจัดหาผลิตภัณฑ์ประมาณ 40 คน ซัพพลายเออร์ประมาณ 200 ราย ทำให้การดำเนินงานต่างๆ รวดเร็ว สุดท้ายประสบการณ์ของรุ่น 2 และพวกเรารุ่น 3 ที่คลุกคลีกับธุรกิจตั้งแต่เด็กสามารถผสมผสานการทำงานร่วมกัน” ณัฐาย้ำความมั่นใจในความแตกต่างที่เป็นกุญแจสร้างการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้
นอกจากนั้น บริษัทยังมีข้อได้เปรียบด้านประสบการณ์ทางธุรกิจที่สั่งสมตลอดกว่า 30 ปี โดยเฉพาะความเข้าใจในผู้บริโภคไทย ด้วยจุดยืนที่ชัดเจนในการนำเสนอสินค้าดีไซน์โดดเด่น คุณภาพดี ราคาเข้าถึงได้ ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะด้วย โดยออกแบบและพัฒนาใหม่ทั้งหมดกว่า 90% ของสินค้า รวมถึงความสามารถในการปรับตัวตามเทรนด์ตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
“การมีทีมงานหลากหลายรุ่นทำให้เราได้ไอเดียสดใหม่จากเจนใหม่ และความเก๋าเกมจากเจนเดิม ยิ่งทีมขยายมากขึ้น การให้เกียรติกันและการกำหนดบทบาทหน้าที่ต่างๆ รวมถึงการรับฟังความเห็นเป็นเรื่องสำคัญให้เขารู้สึกมีส่วนร่วมในความสำเร็จ โดยคำสอนที่คุณพ่อเน้นมาตั้งแต่เด็กคือ อย่าเอาเปรียบใคร และการรักษาคำพูดตัวเอง ท่านบอกว่า เครดิตสร้างยากมากกว่าจะให้คนเชื่อเรา แต่เสียง่ายมาก ถ้าทุกคนรักเรา เชื่อมั่นในเรา เขาจะให้โอกาสเรา โดยที่เราไม่จำเป็นต้องร้องขอ” พลอยนภัสกล่าวถึงหลักบริหารธุรกิจที่ได้รับการถ่ายทอด
ขณะเดียวกันยังมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับค่านิยมองค์กร “MOSHI” ประกอบด้วย Modern พัฒนาองค์กรพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้เป็นองค์กรทันยุคสมัย Ownership ความเป็นเจ้าของร่วมกัน Sustainable living วิถีชีวิตแบบที่ยั่งยืน Happiness ความคิดเชิงบวก สร้างความสุขในการปฏิบัติงาน รักษาสมดุลการทำงานและการใช้ชีวิตที่ดี Idea ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน
ณัฐาปิดท้ายหลักการทำงานที่ให้ความสำคัญกับทรัพยากรบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จขององค์กร “คุณพ่อให้หลักการบริหารองค์กรเน้นเรื่องการดูแลพนักงานเช่นเดียวกับสมาชิกในครอบครัว ถ้าเรามีทีมงานที่ดี คู่ค้าที่ดี และลูกค้าประจำที่ดี เราจะอยู่ได้ ดังนั้น เรื่องคนสำคัญมาก แป้งต้องเลือกคนให้เข้ากับวัฒนธรรมองค์กร ความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ และสามารถทำงานเป็นทีมในบรรยากาศการทำงานเป็นกันเอง รวมถึงโลกเปลี่ยนเร็วมาก อย่ายึดติดกับความสำเร็จ เราต้องพัฒนาตัวเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เสมอ We Learn, We do ซึ่งเราสามารถ blend ชีวิตส่วนตัวการทำงานได้ ด้วยความตั้งใจทุ่มเทให้กับงานและเรามีทีมงานที่พร้อมสู้ไปด้วยกัน”

ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ซีอีโอ BAM บริหารสินทรัพย์ด้วยนวัตกรรม
