บททดสอบและความท้าทายใหม่ของธุรกิจไอทีอายุมากกว่า 2 ทศวรรษกำลังถูกส่งมอบไปยังลูกไม้ใกล้ต้นรุ่นล่าสุด
กระแสการประยุกต์ใช้ดิจิทัลเพื่อพลิกโอกาสทางธุรกิจหรือ digital transformation ไม่เพียงสร้างแรงสั่นสะเทือนให้องค์กรธุรกิจต้องปรับตัว หากแต่ยังเป็นโอกาสและความท้าทายของธุรกิจที่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับระบบไอทีในการรับมือการเปลี่ยนผ่านของยุคดิจิทัล ด้วยการนำเสนอโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ให้มากที่สุด ดังเช่น บริษัท แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT นำโดย ศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผนึกกำลังทายาทคลื่นลูกใหม่ในวัย 30 ปีและ 28 ปีตามลำดับ ได้แก่ ศศิเนตร อุ่นทรพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ ศิณานางค์ อุ่นทรพันธุ์ ฝ่ายพัฒนาองค์กร บริษัทวางระบบไอทีและการสื่อสารที่สั่งสมฐานลูกค้าภาครัฐมาอย่างแข็งแกร่ง กำลังปรับกลยุทธ์รับความเปลี่ยนแปลงไปสู่ฐานลูกค้าเอกชน พลิกปฏิทินไปยัง 25 ปีก่อน ศิริพงษ์ และกลุ่มผู้บริหารเล็งเห็นโอกาสธุรกิจที่สะท้อนชัด จึงร่วมกันก่อตั้งธุรกิจ System Integrator (SI) หรือ ผู้ออกแบบระบบคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การขายแบบเบ็ดเสร็จ หรือ turn key บททดสอบแรกในยุคก่อตั้งธุรกิจ ผู้ให้บริการหน้าใหม่ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านความเชื่อมั่นจากทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร ลูกค้า หรือซัพพลายเออร์ ซึ่งศิริพงษ์ใช้เครดิตส่วนตัวจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่สั่งสมเป็นอาวุธฝ่าด่านนี้ไปได้ ก่อนจะสร้างการเติบโตยิ่งขึ้นหลังบริษัทได้เป็นตัวแทนจำหน่ายระดับ Silver Partner จาก CISCO Systems ในปี 2538 และนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2546 ชื่อย่อ AIT เปิดฉากเกมกลยุทธ์ใหม่ แม้บริษัทจะสอบผ่านด่านแรก แต่จังหวะการขับเคลื่อนที่รวดเร็วของโลกไอที ทำให้ศิริพงษ์เห็นความสำคัญในการฝึกปรือ คลื่นลูกใหม่ ให้พร้อม “ทันทีที่จบปริญญาโท เราก็เข้ามาช่วยงานในปี 2554 ช่วงแรกต้องใช้เวลาปรับตัว 2-3 ปี เพราะไม่มีพื้นฐานด้านไอทีมาก่อน เราได้เรียนรู้และรับผิดชอบธุรกิจทั้งกระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบ การขาย การติดตั้ง ตรวจรับ ส่งมอบและบำรุงรักษา” ศศิเนตร กล่าวถึงการสั่งสมประสบการณ์ทำงานจริง

สำหรับผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างการเติบโตในรายได้จากงบเฉพาะกิจการจำนวน 3.48 พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 331.76 ล้านบาท พร้อมมูลค่างานในมือที่อยู่ระหว่างรอรับรู้รายได้ (backlog) รวมทั้งสิ้น 1.45 พันล้านบาท ซึ่งทยอยรับรู้รายได้บางส่วนในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาและรับรู้รายได้ที่เหลือในปี 2560
ขณะที่นักวิเคราะห์ให้ความเห็นเชิงบวกสอดคล้องกับการเติบโตของ AIT โดยบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดว่ารายได้ของ AIT ปีนี้มีความเป็นไปได้ที่ไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% ต่อปี จากมูลค่างานในมือที่รอรับรู้รายได้จำนวนกว่า 1 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์งานภาครัฐที่พยายามผลักดันบรอดแบนด์หมู่บ้านยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอ รวมถึงการให้บริการในลักษณะ SI มีแนวโน้มแข่งขันสูงและอาจจะเริ่มมีปัญหาการตั้งสำรองสำหรับงานภาครัฐอย่างต่อเนื่องจากการตรวจรับงานของรัฐบาลที่เข้มข้น ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิมีโอกาสต่ำกว่าระดับปกติที่ 10%
“เราต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้ภาคเอกชนจาก 30% ให้มากขึ้น เนื่องจากรายได้ภาครัฐกว่า 70% ของรายได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น นโยบายภาครัฐ งบประมาณการลงทุน และเศรษฐกิจการเมือง ขณะที่ภาคเอกชนมีความตื่นตัวเรื่อง digital transformation และกลุ่มสตาร์ทอัพที่เพิ่มขึ้น ทำให้เราเห็นโอกาสสร้างการเติบโต” ศิริพงษ์ย้ำชัดถึงแนวทางการทำธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง
ซึ่งครอบครัวอุ่นทรพันธุ์พร้อมผนึกกำลังขับเคลื่อนองค์กรในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ โดยมีศิริพงษ์ ผู้เป็นบิดาเป็นต้นแบบการดำเนินธุรกิจพร้อมถ่ายทอดปรัชญาการทำงาน โดยเฉพาะการสร้างเครดิตหรือความน่าเชื่อถือเป็นกุญแจสำคัญ
“โลโก้ของเราเหมือนหยินหยาง ความสมดุลที่ไม่สมดุล ทุกอย่างมีดีและร้าย ดำและขาว เช่นเดียวกับศาสตร์และศิลป์ที่ผสมผสานอยู่ในทุกธุรกิจ บาลานซ์ไม่จำเป็นต้องสัดส่วนเท่ากัน แต่ต้องมีทั้งสองอย่าง” ศศิเนตรยังคงระลึกถึงหลักคิด “กฎแห่งสมดุล” ของบิดาโดยนำมาปรับใช้ได้ทั้งการดำเนินชีวิตและการทำงาน
“เราต้องการสานต่อในสิ่งที่คุณพ่อทำมา ด้วยแนวทางการสร้างรายได้ต่อเนื่องที่สามารถเลี้ยงบริษัท ทำกำไร และจ่ายเงินปันผลได้ในทุกสภาวะเศรษฐกิจ เป็นบริษัทที่มั่นคงและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง” ศศิเนตรปิดท้าย
ภาพประกอบ: กิตติเดช เจริญพร
คลิกอ่านฉบับเต็ม "AIT จับจังหวะไอทีเปลี่ยนโลก หนุนพลังคลื่นลูกใหม่ในยุคดิจิทัล" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ กุมภาพันธ์ 2560


