ปิติ จารุกำจร เสริมแกร่งลมใต้ปีก One Origin - Forbes Thailand

ปิติ จารุกำจร เสริมแกร่งลมใต้ปีก One Origin

ขุนพลนำทัพธุรกิจแฟล็กชิปสร้างรายได้ประจำผนึกความแข็งแกร่งอาณาจักรอสังหาฯ หมื่นล้าน พร้อมประกาศเปิดเกมรุกโปรเจกต์โรงแรมและบริการกลุ่ม Hospitality ด้วยความมุ่งมั่นเติมเต็มจิ๊กซอว์เชื่อมโยงระบบนิเวศครบมิติสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน


    บนความมุ่งมั่นตั้งใจขับเคลื่อนธุรกิจให้สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว ด้วยวิสัยทัศน์การเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรครอบคลุมธุรกิจโรงแรมเซอร์วิสอะพาร์ตเมนทต์ สำนักงานเช่า คอมมูนิตี้มอลล์ สู่การต่อยอดบริษัทเรือธง (flagship company) เป็นแกนนำหลักในธุรกิจพัฒนาและดำเนินกิจการอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าที่สร้างรายได้ต่อเนื่องในประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมธุรกิจโรงแรมและการบริการ (hospitality) ได้แก่ โรงแรม และเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ (serviced apartment) ธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกและอาคารสำนักงาน (retail and office building) ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การบริหารโครงการ และการลงทุนอสังหาริมทรัพย์หรือโปรแกรมแฮมป์ตัน

    ปิติ จารุกำจร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการเริ่มต้นธุรกิจที่มีพัฒนาการสำคัญหลังจาก พีระพงศ์ จรูญเอก ซีอีโอ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เซ็นสัญญากับ InterContinental Hotels Group (IHG) เพื่อร่วมวางแผนและพัฒนาโครงการลงทุนในธุรกิจโรงแรมที่มีการรับรู้รายได้แบบ recurring income โครงการแรกในแปลงที่ดินหน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ศรีราชา) ช่วงปี 2559 และเซ็นสัญญานำแบรนด์และเชนของเครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (IHG) เข้ามาบริหารในปี 2560 โดยนำแบรนด์สเตย์บริดจ์ สวีท (Staybridge Suites) เข้ามาใช้เป็นครั้งแรกในเอเชีย-แปซิฟิก

    นอกจากนั้น บริษัทยังเดินหน้าความร่วมมือพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์กับพันธมิตรธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการร่วมกับโนมุระ เรียล เอสเตท พัฒนาโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท กรุงเทพ ทองหล่อ และโครงการมิกซ์ยูสโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท การลงนามสัญญาร่วมทุนพัฒนาโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล แบงค็อก สุขุมวิท ร่วมกับ Ci:Z Investment Limited Liability Partnership การลงนามสัญญาร่วมทุนพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส วัน ออริจิ้น พญาไท และอาคารสำนักงาน วัน ออริจิ้น สนามเป้า ร่วมกับทีแอลทีเอช ในเครือโตคิว แลนด์ คอร์เปอเรชั่น หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น รวมถึงร่วมทุนกับบุญภาพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานวัน ออริจิ้น บางนา

    “ธุรกิจของเรามีความชัดเจนในด้าน recurring income ตั้งแต่ก่อนเราเข้ามาร่วมงาน  โดยถ้านับย้อนหลังไป 5-6 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่คุณพีระพงศ์ จรูญเอก เซ็นสัญญากับ IHG และเปิดแบรนด์ Staybridge ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากนั้นจึงเริ่มพัฒนามาเรื่อยๆจนเริ่มก่อสร้าง ซึ่งสิ่งที่เราทำวันแรกเป็นการสร้างขนาดธุรกิจและขมวดกลุ่มทั้งหมดในการวางกลยุทธ์ โดยเรามองภาพการกระจายความเสี่ยงสูงสุด ไม่เฉพาะโรงแรมในกรุงเทพฯ และ EEC แต่เรายังไปภูเก็ต พัทยา หัวหิน เชียงใหม่ เขาใหญ่ อุดรธานี พร้อมทั้งพยายามเปลี่ยนความคิดทุกคนให้มองว่า แม้จะอยู่ตลาดไหนเราก็ชนะได้ถ้าเราเข้าใจกลุ่มลูกค้าของเรา ซึ่งแต่ละพื้นที่มี target และ segmentation แตกต่างกัน”

    ปิติกล่าวถึงการปรับความรู้และประสบการณ์ตลอดเส้นทางนับตั้งแต่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยขอนแก่น และศึกษาต่อปริญญาโท บริหารจัดการงานก่อสร้าง North Carolina State University สหรัฐอเมริกา พร้อมสั่งสมประสบการณ์ทำงานบนเส้นทางอสังหาริมทรัพย์กับ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นเวลากว่า 20 ปี โดยดำรงตำแหน่งสุดท้ายเป็นรองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวสูงและบริหารกลยุทธ์โครงการ ก่อนนั่งเก้าอี้กรรมการ บริษัท ออริจิ้น อีอีซี จำกัด ในปี 2564 และได้รับความไว้วางใจแต่งตั้งเป็นซีอีโออย่างเป็นทางการในปี 2565

    “เรารู้สึกสนุกกับการพัฒนาโครงการตอบโจทย์นักลงทุนเรื่องผลกำไร และการสร้างอสังหาริมทรัพย์ที่ดีตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย โดยเราภูมิใจกับทุกโครงการที่ทำตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้ายรวมแล้วน่าจะ 70-80 โครงการ ด้วยความที่เราทำงานมานานกว่า 20 ปี ทำให้แต่ละโครงการเริ่มรู้สึกไม่แตกต่าง ซึ่งในจังหวะนั้นบริษัทได้มอบหมายให้เราดูแลกลุ่มโรงแรมและเมื่อเริ่มสัมผัสกับธุรกิจ hospitality เราพบว่าโลกคนละแบบ ไม่ใช่ซื้อมา พัฒนา และขาย แต่ยังมีวิธีการอื่นๆ เช่น การเลือกเช่าหรือซื้อที่ดิน การลงทุนเองหรือจับมือกับพาร์ตเนอร์ที่ทำให้ได้ความรู้ ความเชี่ยวชาญ เงินทุน และฐานลูกค้า ทั้งยังสามารถหารายได้จากการบริหารจัดการหรืออาจจะขายเข้ากอง REIT และร่วมลงทุนใหม่อีกรอบ ทำให้เราเริ่มเห็นภาพว่า ธุรกิจโรงแรม sexy กว่าในเรื่องนี้”


ทัพหน้าปั้นพอร์ตเช่า

    ในฐานะผู้กุมบังเหียนธุรกิจโรงแรมและการบริการและอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่องยังคงให้ความสำคัญกับการจับมือพันธมิตรรุกสร้างการเติบโตทางธุรกิจทั่วประเทศ โดยเซ็นสัญญาร่วมทุนกับแอสเซท บลูม พัฒนาโครงการพื้นที่ค้าปลีก พอร์โทเบลโลมอลล์ แจ้งวัฒนะ เมื่อปี 2565 ซึ่งในปีเดียวกันได้มีการเข้าซื้อทรัพย์สินทั้งหมดของโรงแรมไอบิส 3 แห่ง และลงนามสัญญาร่วมทุนกับทีแอลทีเอชพัฒนาโรงแรมไอบิส ภูเก็ต กะตะ โรงแรมไอบิส สไตล์ กระบี่ อ่าวนาง และโรงแรมไอบิส หัวหิน พร้อมปรับโครงสร้างภายในกลุ่มบริษัทให้มีการบริหารจัดการและกำหนดทิศทางการดำเนินงานในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ

    ขณะเดียวกันยังมีการลงนามสัญญาร่วมทุนภายใต้ OEC กับเอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการโรงแรมและร้านค้าในฮอลิเดย์อินน์ เอ็กซ์เพรส ระยอง รวมถึงลงนามสัญญาร่วมทุนภายใต้ SPV1 กับคลัง คาซ่า ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของนครราชสีมาและภาคอีสาน เพื่อร่วมกันพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรมและเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์และโครงการมิกซ์ยูสในจังหวัดนครราชสีมา พร้อมลงนามสัญญาร่วมทุนภายใต้ HKR กับกลุ่มบุคคลภายนอก เพื่อร่วมกันพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทพื้นที่ค้าปลีก โรงแรมและเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ด้านเวลเนส


    ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม ปี 2566) บริษัทมีจำนวนห้องพักโรงแรม และเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์เปิดดำเนินการรวม 1,579 ห้อง จากทั้งหมด 7 โครงการ ประกอบด้วยโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง, สเตย์บริดจ์ สวีท กรุงเทพ ทองหล่อ, ไอบิส ภูเก็ต กะตะ, ไอบิส สไตล์ กระบี่ อ่าวนาง, ไอบิส หัวหิน, สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท ทาวเวอร์ 1, เวลเนส สเตย์ แอนด์ โฮเทล สุขุมวิท 107 อาคารเอ และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือแผนการพัฒนาอีก 12 โครงการ มีห้องพักรวมประมาณ 4,343 ห้อง 

    ส่วนโครงการประเภทพื้นที่ค้าปลีกและอาคารสำนักงานมีพื้นที่ค้าปลีกเปิดดำเนินการแล้วจำนวน 1 โครงการ มีพื้นที่เช่าสุทธิรวม 2,053 ตารางเมตร ได้แก่ โครงการพอร์โทเบลโล มอลล์ ศรีราชา และอยู่ระหว่างการพัฒนาหรือแผนการพัฒนาอีก 4 โครงการ โดยมีพื้นที่เช่าสุทธิรวมประมาณ 16,720 ตารางเมตร รวมทั้งอาคารสำนักงานที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 2 แห่ง ซึ่งมีพื้นที่เช่าสุทธิรวมประมาณ 59,869 ตารางเมตร

    สำหรับร้านอาหารและเครื่องดื่มสามารถเปิดดำเนินการแล้วจำนวน 5 ร้าน เช่น Gin Kitchen, Origami, Naori และอยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 4 ร้าน รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การให้บริการด้านการบริหารโครงการในกลุ่มจำนวน 12 โครงการ และการบริหารจัดการโปรแกรมการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (investment property) หรือโปรแกรมแฮมป์ตัน จำนวน 7 โครงการ ได้แก่ โครงการแฮมป์ตัน ดีลักซ์ โอเชียน ศรีราชา, แฮมป์ตัน สวีทส์ เทพารักษ์, แฮมป์ตัน เน็กซ์ ทู เอ็มโพเรียม, แฮมป์ตัน สวีทส์ พญาไท, แฮมป์ตัน  ทองหล่อ, นอตติ้ง ฮิลล์ ระยอง และแฮมป์ตัน สวีทส์ ศรีราชา โดยในส่วนของโปรแกรมแฮมป์ตันอยู่ระหว่างรอดำเนินการอีก 6 โครงการ

    “รายได้จากธุรกิจโรงแรมและการบริหารจัดการเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% สำหรับออฟฟิศ รีเทล ยังไม่ใหญ่มาก ส่วนอาหารเป็นกลุ่มที่เรามองว่าน่าจะเติบโตในอนาคตและช่วยสร้าง ecosystem ในระบบของ One Origin ได้ นอกจากนั้น IP Program ยังเป็นอีกส่วนที่สำคัญ เนื่องจากเราเห็นว่าบริษัทพัฒนาคอนโดนิเนียมส่วนใหญ่ยังไม่มีใครทำตลาดเช่าอย่างจริงจัง แต่เป็นการขายและการันตี เมื่อหมดการันตีก็จบ ขณะที่ตั้งแต่เริ่มต้นบริษัททำธุรกิจแบบ recurring income และ long stay เราสร้างทีมงาน ความรู้ และประสบการณ์เกี่ยวกับการปล่อยเช่าระยะยาว เรามีคอนเนคชั่นกับบริษัทญี่ปุ่น เกาหลี จีน ทำให้สามารถตอบโจทย์ pain point และสนับสนุนลูกค้ากลุ่มที่ต้องการปล่อยเช่ารายเดือนได้ สมมติคอนโด 500 ยูนิต เราอาจจะขาย 200 ยูนิตเหมือน investment property และ One Origin เข้าไปช่วยเซตอัพตั้งแต่วันแรก”

    ปิติกล่าวถึงผลการดำเนินงานที่สามารถสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากความสามารถในการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ส่งผลให้บริษัทมีรายได้รวมในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 จำนวน 941.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 108.56% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 45.11% เป็น 360.9 ล้านบาท 

    ขณะเดียวกันบริษัทได้วางกลยุทธ์ธุรกิจกระจายการพัฒนาโครงการตามพื้นที่เศรษฐกิจและจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการขยายโอกาสทางธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภทเพื่อกระจายฐานรายได้ให้เพิ่มขึ้นสม่ำเสมอในอนาคต ทั้งการพัฒนาโครงการเอง การลงทุนในกิจการผู้พัฒนาอสังหาฯ รายอื่น การควบรวม และการซื้อกิจการ พร้อมให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคลอย่างต่อเนื่องและดำเนินธุรกิจอย่างคำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชนบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน


    นอกจากนั้น บริษัทยังมุ่งเน้นการขยายธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์โดยให้บริการไปยังแหล่งท่องเที่ยวหลักทั่วประเทศ เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา กระบี่ หัวหิน และขยายไปยังแหล่งธุรกิจหรืออุตสาหกรรม เช่น ศรีราชา ระยอง ขอนแก่น เป็นต้น ซึ่งในระยะยาวยังวางเป้าหมายการขยายกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ เพื่อก้าวเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ รวมถึงโครงการพื้นที่ค้าปลีก อาคารสำนักงาน และธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งจะกระจายและสร้างฐานรายได้ที่สม่ำเสมอยิ่งขึ้น

    “เราต้องการต่อจิ๊กซอว์การเติบโตธุรกิจให้ครบถ้วน โดยเฉพาะการขยายกลุ่มโรงแรมหรือ hospitality ส่วนออฟฟิศ รีเทล เรามี strategic location ที่สามารถสร้างการเติบโตได้ โดยอาจจะ synergy กันระหว่างเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์และอาหาร เพราะเราชอบโมเดลธุรกิจมิกซ์ยูสที่มีทั้งโรงแรม ออฟฟิศ และรีเทล ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนได้ตามดีมานด์ตลาดแต่ละพื้นที่ โดยการที่เราสามารถบาลานซ์และยืดหยุ่นจะช่วยให้เราลดความเสี่ยงได้”

    ปิติย้ำความมั่นใจในจุดแข็งธุรกิจที่มีผู้บริหารและทีมงานมืออาชีพ พร้อมประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเป็นเวลานาน ภายใต้การสนับสนุนจาก ORI ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และการร่วมกับพันธมิตรที่มีความชำนาญพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก รวมถึงบริษัทยังมีความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจจากความสามารถพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม เซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ พื้นที่ค้าปลีกและอาคารสำนักงานที่สามารถช่วยลดความผันผวนของผลประกอบการบริษัท ทั้งโครงการยังตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ ได้แก่ สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) และแหล่งอุตสาหกรรม ด้วยแบรนด์ที่มีความหลากหลายสามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าระยะสั้นและระยะยาว

    “วันนี้เราได้รับความเชื่อมั่น ทั้งฐานะทางการเงิน partnership ความแข็งแรงในการขยายธุรกิจและขนาดของบริษัท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราสามารถเจรจากับซัพพลายเออร์ ผู้รับเหมา หรือเจ้าของที่ดินง่ายขึ้น รวมถึงการทำงานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้บริหารและพนักงานที่เข้าใจในภาพเดียวกัน โดยภาพการ collaborate ต้องเร็วและขยับตัวตลอดเวลา ไม่ใช่เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ แต่หมายความว่าวันแรกเริ่มเติบโตต้องวิ่งแบบนี้ใน 6 เดือนแรก แต่ 6 เดือนต่อมาจะวิ่งเหมือนเดิมไม่ได้ เพราะคีย์สำคัญของธุรกิจ recurring อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงขับเคลื่อนตลอด เราทำงานแบบไม่มีห้องประชุมและโต๊ะทำงานประจำ แต่จะมีล็อกเกอร์ให้ ใครต้องการนั่งตรงไหนก็ได้ ทำให้ไม่มีกำแพงและคล่องตัวกับการทำงานในรูปแบบ agility ซึ่งตรงกับวิถีทีมงานเจน Y หรือเจน Z  โดยเราเป็นเหมือนโค้ชและรับฟังความเห็นของทีมงานที่ช่วยกันคนละไม้คนละมือเดินไปข้างหน้าด้วยกัน”


ภาพโดย : วรัชญ์ แพทยานันท์



​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ธนินทร์ รัตนศิริวิไล WINDOW ปลดล็อกประตูมหาชน

คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมกราคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine