พรธิดา เลิศเกียรติดำรงค์ ถอดดีไซน์พลิกโฉม AAG Intelligent - Forbes Thailand

พรธิดา เลิศเกียรติดำรงค์ ถอดดีไซน์พลิกโฉม AAG Intelligent

พัฒนาการทางสถาปัตยกรรมอาคารสมัยใหม่ที่ได้รับการยกระดับปรับลุค และเพิ่มชั้นเชิงทางเทคนิคอันซับซ้อนโดยบริษัทสัญชาติไทยอย่าง AAG Intelligent ได้แสดงฝีมือสร้างผลงาน Facade Specialist เทียบโปรเจกต์ระดับโลก พร้อมปั้นแบรนด์ขยายฐานรายย่อยครอบคลุมการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง


    “ต้นตระกูลของเรามาจากจีน สมัยอากงประกอบประตูบานไม้ใส่กระจก ประตูเหล็กใส่กระจก เมื่อถึงรุ่นคุณพ่อเริ่มสนใจโอกาสการใช้วัสดุอะลูมิเนียมที่เข้ามาเปิดตลาด เพราะมีความทนทานกว่าเหล็กและสามารถขายเศษได้ต่างจากไม้ที่ต้องทิ้งทั้งหมด ท่านจึงโฟกัสอะลูมิเนียมอย่างจริงจัง ซึ่งได้รับ know-how จากพาร์ตเนอร์ออสเตรเลียและศึกษาเองด้วย ทั้งเรื่อง engineering คุณพ่อเป็นสายช่างอยู่แล้ว ท่านเข้าไปเรียนรู้การผลิตและการประกอบเอง พร้อมนำเครื่องจักรเข้ามา โดยเริ่มจากบ้าน อาคารพาณิชย์ ตึกแถว ประกอบกับช่วงนั้นธนาคารขยายสาขาไปต่างจังหวัดจำนวนมาก ทำให้เราได้งานธนาคารสำนักงานใหญ่ขยายไปสาขาย่อย ออฟฟิศ คอนโดมิเนียม ซึ่งเรารับงานโปรเจกต์ตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ”

    พรธิดา เลิศเกียรติดำรงค์ รองประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเอจี อินเทลลิเจนท์ จำกัด (AAG Intelligent) กล่าวถึงจุดเริ่มต้นธุรกิจห้างหุ้นส่วนจำกัด เอเชียอลูมินั่ม ในปี 2517 ซึ่งพัฒนาความเชี่ยวชาญจากการผลิต และติดตั้งประตูเหล็กและประตูไม้เป็นการใช้อะลูมิเนียมแทนวัสดุติดตั้งอื่นๆ พร้อมทั้งเดินหน้าธุรกิจอะลูมิเนียมกระจกอย่างจริงจังในยุคที่ธนาคารขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยถือเป็นโอกาสสำคัญทำให้สร้างการเติบโตอย่างมั่นคงจากการรับงานติดตั้งอะลูมิเนียมกระจกให้สำนักงานใหญ่และสาขาของธนาคารต่างๆ

    หลังจากนั้นบริษัทจึงขยับขยายมารับงานอาคารออฟฟิศและคอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงศึกษางานระบบ Curtain Wall กับทีมงานประเทศเยอรมนีและเริ่มติดตั้งงานระบบ Curtain Wall ตามโครงการต่างๆ โดยติดตั้งงานระบบ Curtain Wall4-Slide Unitized Structural Silicone Glazing System อาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เฟส 2 ในปี 2534 และร่วมลงนามสัญญา joint venture กับ Timalco International PTY LTD. จากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีโครงการสร้างชื่ออย่างโครงการตึกใบหยกสกายทาวเวอร์ 2 อาคารสูงที่สุดในประเทศไทยขณะนั้นที่ร่วมกันทำงานกับพาร์ตเนอร์บริษัทออสเตรเลียในการออกแบบระบบ Curtain Wall ทำให้บริษัทจัดอยู่ใน facade company อันดับต้นของประเทศไทย


    “ธุรกิจเกิดก่อนเราประมาณ 10 ปี สมัยยังเป็นห้างหุ้นส่วนในตึกแถว 3-4 ห้องย่านพรานนกเราจำได้ว่าสมัยเด็กคุณพ่อจะให้ติดตามท่านไปออฟฟิศช่วยตรวจเอกสาร หรือพาไปเดินไซต์งาน ทำให้เราซึมซับเป็นความชอบและความสนใจ บวกกับคุณพ่อคาดหวังให้เราเข้ามาสานต่อธุรกิจ เราจึงเลือกเรียนด้านบริหาร เพราะมหาวิทยาลัยในไทยยังไม่มีสอนด้าน facade ที่มีความเฉพาะทางมาก และคุณพ่อมองว่าเรื่องนี้เราสามารถศึกษาจากทีมงานที่สอนการคำนวณและมาตรฐานต่างๆ ได้ ซึ่งช่วงที่เราเรียนจบปริญญาโทคุณพ่อกำลังแยกธุรกิจออกมาและต้องการให้เรารีบกลับมาช่วยตั้งแต่ถมดินสร้างโรงงาน วางระบบทั้งหมด รวมถึงคุณพ่อยังให้ดูด้านบัญชี โรงงาน store ขนส่ง บุคคล คุณพ่อให้ rotate ทุกแผนกเพื่อจะได้เรียนรู้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นจัดซื้อ ประมาณราคา ดีไซน์ โปรดักชั่น”

    พรธิดากล่าวถึงการปรับใช้ความรู้ระดับปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจหรือ BBA มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และปริญญาโท International Business Management (IBM) จาก University of Surrey สหราชอาณาจักร และประสบการณ์ทำงานร่วม 10 ปี ในโครงการขนาดใหญ่ที่มีความท้าทายแตกต่างกันพร้อมนั่งเก้าอี้รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารดูแลภาพรวม โดยเฉพาะส่วนของการวางแผนกลยุทธ์และสายปฎิบัติการ บริษัท เอเอจี อินเทลลิเจนท์ จำกัด ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2562

    สำหรับในปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจรับออกแบบ ผลิต ติดตั้ง วัสดุของเปลือกหุ้มของผนังอาคาร ซึ่งเกี่ยวกับงานกระจก อะลูมิเนียม และสแตนเลส โดยได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้าน facade หรือ facade specialist จากกลุ่มลูกค้า ได้แก่ อาคารพาณิชย์ อาคารสำนักงาน และโรงแรม เช่น Grande Centre Point Space Pattaya ซึ่งเป็นงาน kinetic wall โครงการแรกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และ freeform facade design โครงการ The Vanissa Tower โดยทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางชาวสวิสที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับตึก Gherkin ที่ London รวมถึงมีส่วนร่วมในเมกะโปรเจกต์ One Bangkok ทั้งอาคารสำนักงานและศูนย์การค้า


ย้ำภาพผู้นำ Facade Specialist

    ก้าวต่อจากประสบการณ์ที่ได้รับในงานโปรเจกต์ลูกค้าโครงการขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ ทำให้พรธิดาเข้าใจในความต้องการของผู้ใช้งานและเล็งเห็นช่องว่างการต่อยอดธุรกิจจาก B2B ที่บริษัทสร้างฐานความน่าเชื่อถืออย่างแข็งแกร่งสู่กลุ่ม B2C โดยเฉพาะโครงการตลาดบ้านลักชัวรี่ที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

    “ส่วนใหญ่เราเน้น B2B เป็นหลัก ซึ่งดีลกับ developer และ main contractor แต่อนาคตเรามองการขยาย B2C ในชื่อแบรนด์ของเราเอง โดยอยู่ในช่วงการพัฒนาสินค้าและเลือกเซกเมนต์ที่เหมาะกับคนไทย ซึ่งบางตัวอยู่ในขั้นตอนการขอ license โดยเราจะเน้นขยายในกลุ่ม luxury residence ซึ่งให้ความสำคัญกับ facade มากขึ้น”

    ขณะเดียวกันบริษัทยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตกลุ่มลูกค้าหลัก โดยเฉพาะโครงการอาคารสำนักงาน อาคารพาณิชย์ และโรงแรม ด้วยกลยุทธ์ One Stop Service Solution และให้ความสำคัญกับพันธมิตรธุรกิจเปรียบเหมือนเพื่อนคู่คิดทางด้านงานออกแบบเชิงความสวยงามและเทคนิค รวมถึงช่วยหาวิธีคุมงบประมาณให้ได้ตามที่ลูกค้าต้องการ แต่ยังคงได้งานคุณภาพตามมาตรฐาน เพื่อสร้างความพึงพอใจทั้งสินค้าและบริการ ภายใต้เป้าหมายการเติบโตเฉลี่ย 10-15% ทุกปี และก้าวสู่บริษัทท็อป 3 ในเวลา 5 ปี


    “บริษัทมีรายได้จากโครงการที่ทำอยู่เกือบ 1 พันล้านบาท จะทยอยรับรู้ปีนี้มากกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งยังมีอีกหลายโครงการรวมประมาณ 2 พันล้านบาทช่วง 2-3 ปีนี้ โดยในอนาคตสัดส่วนธุรกิจ B2B ยังคงเป็นหลักประมาณ 75% ที่เหลือ 25% เป็น mass แต่ภาพนี้อาจจะ 2 ปี เพราะต้องใช้เวลาในการทำตลาด ซึ่งการแข่งขันในกลุ่ม B2C เรายังเน้นเรื่องคุณภาพและจุดแข็ง Innovation, Integrity, Adaptability, Excellence Quality และ Customer Centric โดยคุณพ่อจะโฟกัสตลอดเรื่องสินค้าต้องมีคุณภาพและลูกค้าจะกลับเข้ามาเอง อย่างงานโครงการบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่แนะนำบอกต่อกัน ถ้า B2C เราก็ต้องการให้เป็น word of mouth ซึ่งเรายังวางแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มจากตอนนี้ที่เพียงพออยู่ที่ 60,000 ตารางเมตรต่อปี”

    พรธิดากล่าวถึงความพร้อมปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคตโดยเล็งเห็นแนวโน้มการพัฒนาอาคารสีเขียวหรือ green building เป็นมาตรฐานใหม่ในการออกแบบและก่อสร้างอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ส่งผลให้การแข่งขันจะมุ่งเน้นด้านการหาวัสดุที่ตอบ - โจทย์เทรนด์อาคารใหม่โดยยังคงคุณภาพได้ดีในงบประมาณที่ลูกค้ากำหนด

    นอกจากนี้ ยังปรับใช้เทคโนโลยีในกระบวนการทำงานเพื่อการสื่อสารและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด รวมถึงการพัฒนาบุคลากรในองค์กรอย่างต่อเนื่อง

    “เราได้รับการปลูกฝังจากคุณพ่อเสมอว่า เราจะไม่ทิ้งพนักงานและต้องทำงานให้เต็มที่ที่สุด ซึ่งหลักบริหารสำหรับเรา ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณต้องมองทุกคนในองค์กรเป็นครอบครัว เราทิ้งเขาไม่ได้ และผิดพลาดไม่ได้ เพราะมีภาระที่ต้องรับผิดชอบพนักงาน 200 กว่าชีวิตรวมกับครอบครัวอาจจะเป็นพันชีวิต ทำให้เราไม่ยอมทำผิดพลาดแม้จุดทศนิยมเดียวและทุกอย่างต้องเต็มที่”



ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ภานุวัฒน์ ขันธโมลีกุล SPREME ปักธงหมื่นล้าน

คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine​