ผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์ และผู้จัด “Motor Expo” ระดับภูมิภาคเอเชียเล่าเรื่องราวการกระตุ้นยอดขายโค้งสุดท้าย ดัชนีชี้วัดภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ 4 ทศวรรษสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1 ล้านล้านบาท
งานมหกรรมยานยนต์ หรือ Motor Expo งานใหญ่ส่งท้ายปี ตัววัดอุณหภูมิทางเศรษฐกิจ ยอดขาย กำลังซื้อ การปล่อยสินเชื่อ ที่ทุกคนเฝ้าคอยจัดต่อเนื่องยาวนานเป็นปีที่ 41 มีค่ายผู้ผลิตรถยนต์ 42 แบรนด์จาก 9 ประเทศ และรถจักรยานยนต์ 22 แบรนด์จาก 7 ประเทศ ร่วมชิงยอดขายดุเดือด ทั้งค่ายผู้ผลิตจีน ญี่ปุ่น และยุโรป
ท่ามกลางการแข่งขันของตลาดรถยนต์ปีนี้ดุเดือดเป็นประวัติการณ์หลังยอดจำหน่ายหล่นฮวบทั้งปี แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะขึ้นหรือลง เศรษฐกิจจะหลุดโค้งไม่สดใส Motor Expo ยังคงเปิดพื้นที่ให้ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ทำกิจกรรมการตลาดส่งเสริมการขายยิ่งใหญ่ทุกปี
จากโชว์รถเป็นขายรถ
“ย้อนไปเมื่อ 40 ปี แนวคิดการจัดงาน Motor Expo มาจากผู้บริหารของค่ายผู้ผลิตยานยนต์แนะนำให้ผมจัด Motor Expo ตอนนั้นมีผู้จัดงานอยู่แล้ว 1 ราย แต่เจ้าของค่ายรถยนต์บอกว่า อยากให้มีจัดอีก ตอนแรกก็ยังไม่ตัดสินใจ แต่พอคุยกันบ่อยก็เลยนับหนึ่งลองจัด” ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธาน บริษัท สื่อสากล จำกัด และประธานจัดงานมหกรรมยานยนต์ เล่าให้ Forbes Thailand ฟังถึงจุดแรกเริ่มของการจัดงานครั้งแรกที่ตื่นเต้น วัดดวง ลุ้นว่าจะมีค่ายรถยนต์สนใจขนาดไหน ใช้โลเกชั่นตรงอโศก แฟร์กราวน์ด (ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 9) เป็นพื้นที่เล็กๆ ขนาด 4,000 ตารางเมตร สรุปปีแรกมีบริษัทค่ายรถยนต์เข้าร่วมงาน 11 บริษัท
“เริ่มจัดงานครั้งแรกเมื่อปี 2527 มี 11 บริษัทร่วมงาน ใช้พื้นที่ไม่มาก 4,000 ตร.ม. ซึ่งในช่วง 2 ปีแรกเป็นการจัดแสดงนวัตกรรมยานยนต์ใหม่ๆ ไม่มีการขายรถยนต์” จุดเปลี่ยนอยู่ในปีที่ 2 ครั้งนี้บริษัทย้ายสถานที่จัดงานจากอโศก แฟร์กราวน์ด มาที่มาบุญครอง

ตอนนั้นรถยนต์แบรนด์ Peugeot ได้นำรถต้นแบบมาจัดแสดง มีคนที่มาเดินดูงานเดินมาถามว่า ‘รถ Peugeot คันนี้ราคาเท่าไร?’ ผมบอกเป็นรถต้นแบบไม่น่าจะขาย ถ้าขายก็ต้องแพงมาก ผู้เข้าชมงานท่านนั้นบอกให้ผมกลับไปบอกเจ้าของรถ ถ้าเอารถมาแสดงก็ต้องขาย ถ้าไม่ขายก็ไม่ต้องมาแสดง
ขวัญชัยจึงมาคุยและนำเสนอคอนเซ็ปต์และรูปแบบการจัดงาน Motor Expo กับบริษัทผู้ผลิตค่ายรถว่าจะมีทั้งการจัดแสดงนวัตกรรมใหม่ๆ และขายรถไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของการยกระดับการจัดงานว่าในงานต้องขายรถด้วย
41 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง
อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่รัฐบาลให้ความสำคัญและมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนโยบายผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคอาเซียนตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบัน
“อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องตามนโยบายสนับสนุนของภาครัฐ อย่าง 10 ปีก่อนรัฐบาลตั้งเป้าหมายการผลิตรถยนต์ในประเทศแตะ 2 ล้านคัน โดยวางเป้าหมาย 1 ล้านคันส่งออก อีก 1 ล้านคันสำหรับตลาดในประเทศ” ขวัญชัยกล่าวและอธิบายเพิ่มว่า ตอนนั้นไทยสนับสนุนให้นักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในประเทศทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดส่งออกที่เติบโตต่อเนื่อง
ปัจจุบันมีจำนวนการส่งออกรถยนต์จากไทยไปต่างประเทศ 1.2 ล้านคัน ในขณะที่ตลาดภายในประเทศก็เคยแตะขึ้นไปถึง 900,000 คัน แต่ตอนนี้ลดลงต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ปี 2567 แตะ 500,000 คันก็ถือว่าเก่งแล้วเพราะเศรษฐกิจไม่ดี กำลังซื้อไม่มี และสถาบันการเงินก็ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยช่วงครึ่งแรกของปีลดลงถึง 25%
“เหตุผลสำคัญที่ทำให้ตลาดรถยนต์ในประเทศปี 2567 ลดลงเป็นผลมาจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มากขึ้นเพราะกลัวหนี้เสีย เมื่อสถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้ การซื้อรถยนต์ก็เป็นเรื่องยากขึ้น เพราะคนไทยไม่ค่อยซื้อรถยนต์เงินสด”

ประเด็นถัดมาคือ รัฐบาลชะลอแผนลงทุนทั้งการจัดซื้อจัดจ้าง เพราะรัฐบาลโยกงบลงทุนไปสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะการแจกเงิน 10,000 บาท ทำให้ธุรกิจที่รับงานประมูลจากภาครัฐมีโครงการลดลง การจ้างงานสะดุด ทำให้รายได้ลด มีปัญหาในการผ่อนชำระ และไม่มีความสามารถในการซื้อรถยนต์ใหม่
สันดาปสู่ไฟฟ้า ไฮโดรเจน และ E-fuels
ขวัญชัยเล่าว่า ถึงแม้รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นนวัตกรรมใหม่ แต่ปัจจุบันได้มีแนวคิดในการพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่ๆ ออกมา ล่าสุดได้มีการพูดถึงรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจนซึ่งใช้มากในยุโรป เนื่องจากยุโรปต่อต้านรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าจากจีน ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วพลังงานไฮโดรเจนจะมีต้นทุนในการผลิตและการจัดเก็บที่แพงกว่ารถยนต์ไฟฟ้า
แต่ยุโรปประกาศที่จะลดการใช้รถยนต์สันดาปในปี 2578 ทำให้ยุโรปมีการพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ล่าสุดเยอรมนีได้มีการพัฒนาแหล่งพลังงานที่เรียกว่า E-fuels ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสังเคราะห์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในยานยนต์ ซึ่งถ้าพลังงานนี้ใช้งานได้จริงรถยนต์สันดาปก็จะยังสามารถใช้ได้โดยเติม E-fuels เข้าไปในการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น
E-fuels เป็นเชื้อเพลิงสังเคราะห์ (synthetic fuel) ชนิดหนึ่งที่ผลิตจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกกักเก็บ และก๊าซไฮโดรเจรที่ได้จากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกใช้ในการผลิต E-fuels มีปริมาณเทียบเท่ากับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยสู่อากาศเมื่อ E-fuels เกิดการเผาไหม้ทำให้เป็นเชื้อเพลิงที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนโดยรวมต่ำ
ข้อดีของ E-fuels ไม่จำกัดอยู่ที่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้งานในเครื่องยนต์สันดาปที่มีอยู่ในปัจจุบันได้อีกด้วย อีกทั้งการจัดส่งยังสามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้วได้เช่นเดียวกัน ฝ่ายผู้สนับสนุนแสดงความเห็นว่า E-fuels เป็นทางเลือกสำหรับผู้บริโภคแทนที่การเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า
จากการพัฒนา E-fuels ทำให้สหภาพยุโรปมีแนวโน้มที่จะทบทวนนโยบายที่จะยุติการจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในปี 2578 หลังจากที่รัฐบาลเยอรมนีได้ขอเปลี่ยนแปลงมาตรการก่อนการลงมติครั้งสุดท้าย เสนอให้ละเว้นการแบนรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปที่ใช้ E-fuels และกลายเป็นที่จับตาของรัฐบาลประเทศอื่นๆ และค่ายรถเป็นอย่างมากเมื่อต้นปี 2566
ภาพ: บจ. สื่อสากล
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Richard Maloney ซีอีโอใหม่นำ UOB ไทยเติบใหญ่ในวิถียั่งยืน
