ขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ SA สร้างกำไรให้ทุกการใช้ชีวิต - Forbes Thailand

ขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ SA สร้างกำไรให้ทุกการใช้ชีวิต

ความสำเร็จในการร่วมทีมวิศวกรก่อตั้งบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นการแสดงฝีมือขับเคลื่อนธุรกิจที่สามารถสร้างผลงานระดับแถวหน้าของประเทศ ด้วยความเชื่อมั่นในโอกาสที่เล็งเห็นเป็นใบเบิกทางให้ก้าวต่อในการขยายอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรภายใต้แนวคิด Asset of Life


    การเบนเข็มความเชี่ยวชาญด้านงานรับเหมาก่อสร้างที่สั่งสมประสบการณ์มากว่า 30 ปีในฐานะวิศวกรและนักธุรกิจแถวหน้าของไทย สู่การเริ่มต้นเส้นทางพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพในราคาที่คนไทยสามารถเข้าถึงได้ โดยมุ่งเน้นทำเลศักยภาพใจกลางเมืองและศูนย์กลางธุรกิจ ตอบโจทย์ความต้องการผู้อยู่อาศัยและนักลงทุน พร้อมขยายอาณาจักรอย่างต่อเนื่อง

    “ผมเป็นคนเชียงใหม่ สอบเข้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สมัยนั้นครูฝึกสอนแนะนำคณะวิศวกรรมศาสตร์ ผมเคยเดินผ่านไซต์งานก่อสร้างก็สนใจจึงเลือกเรียนวิศวกรรมโยธา หลังจากเรียนจบก็เข้ากรุงเทพฯ เพราะตั้งใจเรียนปริญญาโทที่จุฬาฯ แต่ได้งานขุดอุโมงค์ให้การประปานครหลวงก่อนซึ่งเป็นอุโมงค์แรกๆ ของประเทศที่อยู่ลึกลงใต้ดิน 20 กว่าเมตร รายได้สูง แต่เสี่ยงอันตรายมาก

    “เราทำงานกับบริษัทญี่ปุ่น 7 ปี ทำให้ได้ความรู้และความคิดจากญี่ปุ่น แต่ทำแล้วไม่มีเงินเก็บจึงชวนรุ่นพี่เปิดบริษัท I & U ประมาณปีกว่าก็มาร่วมก่อตั้งฤทธาเมื่อ 36 ปีที่แล้ว โดยทุกวันนี้ผมยังเป็น Chairman ของฤทธา และถือหุ้นประมาณ 14%” ขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA กล่าวถึงความรู้ที่ได้รับจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เชียงใหม่ และประสบการณ์ทำงานในบริษัทก่อสร้างของญี่ปุ่นในโครงการอุโมงค์แห่งแรกของประเทศไทย ก่อนจะนำความรู้และความเชี่ยวชาญร่วมก่อตั้งธุรกิจก่อสร้างของตัวเอง

    โดยร่วมกับ สุวัฒน์ เชาว์ปรีชา, อุทร ภูษิตกาญจนา, กมล โอภาสกิตติ และ อารักษ์ ศศิพงศ์ปรีชา เริ่มต้นบริษัท ฤทธา จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท และเติบโตทั้งรายได้หลักหมื่นล้านบาท รวมถึงผลงานการก่อสร้างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นที่พักอาศัย โรงแรม โรงเรียน โรงพยาบาล โรงงาน ศูนย์ข้อมูล ศูนย์การค้า ซูเปอร์สโตร์ อาคารสูง

    “เมื่อ 14 ปีที่แล้วผมเป็น COO ของฤทธา ดูเรื่อง operation งานก่อสร้าง การหางาน ผมมองว่าบริษัทก่อสร้างมีกำไร Gross Profit หรือ GP น้อยกว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แม้จะเบิกเงินได้ไวและลงทุนน้อยกว่า แต่ผมสนใจเรื่องผลตอบแทนและกำไรที่ได้รับ เนื่องจากฤทธามีลูกค้าเป็นบริษัทอสังหาฯ จำนวนมาก เราจึงไม่ได้นำฤทธาเข้ามาถือหุ้นในบริษัท แต่เป็นการลงขันส่วนตัวรวมกันประมาณ 300 กว่าล้านบาท ก่อตั้ง Siamese Asset ขึ้นในปี 2553

    “ซึ่งถือว่าเราตัดสินใจได้ถูกต้อง จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น สปา ร้านอาหาร การดูแลบริหารอาคารทำให้รายได้เราเพิ่มมากขึ้น วันนี้คาดการณ์ไว้เกือบ 6 พันล้านบาท หรือ 20 เท่าในเวลา 14 ปี”


ตอบดีมานด์ครบวงจร

    ผลตอบรับการเปิดตัวคอนโดมิเนียม “ไซมิสจอยญ่า” (Siamese Gioia) โครงการแรกของไซมิส แอสเสท บนที่ดินเกือบ 2 ไร่ ย่านสุขุมวิท 31 ประสบความสำเร็จทั้งยอดจองวันแรกกว่า 80% และรางวัลการันตีคุณภาพจำนวนมาก ทำให้ขจรศิษฐ์มั่นใจในการผสมผสานจุดแข็งสร้างความแตกต่างและเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

    “จากประสบการณ์ลงทุนซื้อที่ดินไกลๆ ที่ราคาไม่ขยับไปไหนเป็นเวลา 10 ปี เทียบกับที่ดินโซนสุขุมวิทที่เปลี่ยนแปลงจากสมัยต้มยำกุ้ง 80,000 บาทต่อตารางวา เป็น 500,000 บาทต่อตารางวาในเวลา 20 กว่าปี มันสะท้อนชัดว่าการลงทุนในโซนที่มีซัพพลายจำนวนมากให้ผลแตกต่างกัน ซึ่งโครงการแรกเรามองตลาดค่อนข้างขาดในการซื้อที่ดินช่วงที่ราคายังไม่สูงมากในทำเลที่นักลงทุนและชาวต่างชาตินิยม



    “โดยนำจุดแข็งของเราเรื่องการก่อสร้างคุณภาพดีของฤทธา การออกแบบ ประสิทธิภาพ ต้นทุนการก่อสร้างต่ำ และขายในราคาไม่แพง ซึ่งก็เป็นบทเรียนเรื่องการตั้งราคาที่มองพลาดเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ในโครงการ ทำให้แทบไม่มีกำไร แต่สามารถสร้างชื่อเสียงโครงการคุณภาพดี ราคาไม่แพง โดยเรายังเปิดต่อเนื่องในโซนสุขุมวิท สุรวงศ์ และศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์”

    สำหรับธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่ายของบริษัทตั้งแต่ปี 2555 ถึงปัจจุบันมีโครงการคอนโดมิเนียม 16 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3.55 หมื่นล้านบาท และโครงการแนวราบ 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.16 หมื่นล้านบาท ซึ่งครอบคลุมคอนโดมิเนียม ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และบ้านจัดสรร นอกจากนั้น บริษัทยังริเริ่มการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบ branded residence ด้วย

    อย่างไรก็ตาม ขจรศิษฐ์ยังเล็งเห็นความสำคัญการลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงรายได้การจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ด้วยการขยายธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ประจำและสม่ำเสมอ โดยธุรกิจโรงแรมได้จับมือกับบริษัท Kew Green จัดตั้งบริษัทย่อยดำเนินการบริหารจัดการธุรกิจโรงแรมทั้งหมดของบริษัท ซึ่ง Kew Green เป็นเจ้าของโรงแรมกว่า 70 แห่งในอังกฤษ และมีประสบการณ์บริหารงานโรงแรมกว่า 17 ปี ภายใต้แบรนด์ชั้นนำต่างๆ เช่น Hilton, Marriott, Crowne Plaza และ Holiday Inn


    ขณะเดียวกันบริษัทยังขยายธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เป็นโครงการมิกซ์ยูส ได้แก่ ธุรกิจพื้นที่พาณิชย์เพื่อการเช่า เช่น ร้านอาหาร บาร์ สปา สถานเสริมความงาม ร้านสะดวกซื้อ รวมถึงขยายธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมทั้งต่อยอดธุรกิจด้านเวลเนสให้บริการและคำปรึกษาเบื้องต้นด้านการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ฟื้นฟูสมรรถภาพ และดูแลสุขภาพ ด้วยการเปิดสปาแบรนด์ Sense Cera Spa ตั้งแต่ปี 2565 และขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง

    นอกจากนี้ แนวโน้มความเปลี่ยนแปลงและความต้องการเทคโนโลยีของผู้อยู่อาศัยถือเป็นโอกาสสำคัญในการขยายธุรกิจเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งบริษัทวางแผนให้บริการสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าและพัฒนาสินค้านวัตกรรม เช่น แผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาที่พักอาศัย เครื่องกรองอากาศ

    รวมทั้งการขยายธุรกิจการเงินและการลงทุนด้วยการจดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไซมิส แอนด์ เวลธ์ จำกัด เป็นบริษัทย่อย โดยได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจบริหารสินทรัพย์จากธนาคารแห่งประเทศไทยช่วงกลางปี 2565 พร้อมทั้งยังสร้างการเติบโตในธุรกิจบริหารนิติบุคคลสำหรับโครงการที่พัฒนาโดยบริษัทเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 14 โครงการ (ณ ไตรมาส 1 ปี 2567)


    “พอร์ตอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายของเรามีหมู่บ้านทยอยโอนเรื่อยๆ เรามีคอนโดมิเนียมเพื่อขายและโรงแรมเป็น recurring income ซึ่งปีที่แล้วรายได้ประมาณ 2 พันล้านบาท เป็น recurring income ประมาณ 30% ประกอบด้วยโรงแรม ร้านอาหาร บริหารอาคาร หรือสปา

    “แต่ปีนี้รายได้อสังหาฯ เพื่อขายมากขึ้นจากปีที่แล้วที่ 1.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นมาเกือบ 5 พันล้านบาท ทำให้ recurring income สัดส่วนอาจจะลดลงอยู่ที่ประมาณ 10-15% โดยรวม backlog อสังหาฯ อยู่ที่ประมาณ 7 พันล้านบาท น่าจะรับรู้อีกประมาณ 3 ปี แต่จะมีการขายใหม่เติมเข้าไปเรื่อยๆ”


ปรับทิศรับเทรนด์อนาคต

    ท่ามกลางความท้าทายทางธุรกิจที่การแข่งขันทวีความรุนแรงและแนวโน้มความต้องการอสังหาริมทรัพย์เปลี่ยนแปลงไป ขจรศิษฐ์สามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยรายได้รวมไตรมาสแรกปีนี้จำนวน 1.17 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 686.24 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 140.58% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิ 115.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.46% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

    ส่วนรายได้จากการบริการอยู่ที่ประมาณ 89.11 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการเปิดให้บริการโรงแรม 5 แห่งที่มีอัตราการเข้าพัก (occupancy rate) สูงกว่าราคาเฉลี่ยห้องพักต่อคืนปรับสูงขึ้น (average dairy room rate) และจำนวนห้องสูงขึ้น รวมถึงรายได้จากการบริหารงานนิติบุคคล ส่งผลให้บริษัทมีรายได้จากการบริการคิดเป็นสัดส่วน 7.59% ของรายได้รวม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 9.45 ล้านบาท หรือ 11.86%


    ขจรศิษฐ์ย้ำความมั่นใจนำกลยุทธ์การคัดสรรทำเลที่มีศักยภาพและความต้องการของกลุ่มลูกค้าในปัจจุบันด้วยทีมพัฒนาธุรกิจทำงานร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาคัดเลือกพื้นที่พัฒนาโครงการ ซึ่งมุ่งเน้นพื้นที่ตามแนวระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะบริเวณย่านศูนย์กลางทางธุรกิจหรือ CBD โซนส่วนต่อขยายศูนย์กลางธุรกิจหรือ New CBD ซึ่งราคาที่ดินมีโอกาสเพิ่มขึ้นในอนาคตและได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุนด้วย

    “เรามองตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นไปได้ขณะนี้เป็นตลาดการลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มกลางบนขึ้นไปที่สามารถลงทุนได้และเราสร้างผลตอบแทนให้ซึ่งเป็นธุรกิจที่ดีของ Siamese Asset ในอนาคต แต่เราต้องสร้าง ecosystem ด้วย เพื่อให้ลูกค้าเกิดความมั่นคงในทรัพย์สินที่ฝากเราไว้ ซึ่งโครงการของเราเน้นทำเลกรุงเทพฯ และปริมณฑล เรามองว่าโปรเจกต์ที่มีอยู่ในปีนี้มีมากพอจะรักษารายได้ 6 พันล้าน 3 ปี”



ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Ho Kwon Ping บันยันกรุ๊ป แบรนด์หรูที่เรียบง่าย-ยั่งยืน

คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกันยายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine