วรเดช รุกขพันธุ์ พรอพเทคเปลี่ยนเกม VBEYOND - Forbes Thailand

วรเดช รุกขพันธุ์ พรอพเทคเปลี่ยนเกม VBEYOND

โอกาสจากการปรับตัวตามเทรนด์และความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกรวดเร็วสู่การพัฒนาแพลตฟอร์ม Property Technology รายแรกของประเทศที่ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร รวมยอดขาย 1.61 พันล้านบาท พร้อมสร้างความต่างด้วยเทคโนโลยี AI และแปรสภาพเป็นมหาชนรุกขยายฐานธุรกิจระดับโลก


    กระแสความเปลี่ยนแปลงหลังโควิด-19 ได้สร้างวิถีปกติใหม่ในการใช้ชีวิตและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายและความรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเร่งความแรงในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ที่สามารถเชื่อมต่อโลกแห่งการสื่อสารและธุรกิจการค้าไร้พรมแดน พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายในยุคดิจิทัล

    “พฤติกรรมของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยน เมื่อก่อนเวลาเปิดร้านอาหารต้องทำเลดี แต่ปัจจุบันถ้าอาหารอร่อย รีวิวดี ภาพสวยก็สามารถสั่งออนไลน์ได้ หรือการจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม รถเช่าง่ายๆ ในแพลตฟอร์มเดียวเช่นเดียวกับอสังหาริมทรัพย์ ถ้าเราทำให้ระบบเอื้ออำนวยลูกค้าก็จะเห็นมิติการซื้อขายที่สะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งในอดีตเราเน้นช่องทางออฟไลน์ผ่านตัวแทนขายจนกระทั่งช่วงโควิด-19 เรามองหาเทคโนโลยีที่สามารถเชื่อมทั้งโลกให้เข้าถึงได้ง่าย ด้วย Internet of Things หรือ IoT ทำให้ยอดขายเราเพิ่มขึ้นมาก อย่างไรก็ตามเพราะความเคยชินของคนซื้อบ้านยังต้องการรับคำแนะนำจากตัวแทนหรือ agent เหมือนที่ปรึกษา option ที่ยืดหยุ่น และเรายังทำแคมเปญผ่อนน้อยร่วมกับธนาคาร รวมถึงตลาดเช่าที่อัตราการเติบโตสูง”

    วรเดช รุกขพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ VBEYOND วัย 34 ปี กล่าวถึงโอกาสที่เล็งเห็นในการปฏิวัติองค์กรให้ก้าวสู่ Property Technology (Prop Tech) พร้อมให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ด้วยประสบการณ์ทำงานด้านการขายในสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ซิตี้แบงก์ เอชเอสบีซี (HSBC) และเริ่มต้นเดิมพันครั้งใหญ่ในฐานะนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หน้าใหม่ในโครงการบ้านจัดสรร VB Home จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี 2555 ก่อนจะก่อตั้ง บริษัท วี บียอนด์ เรียล เอสเตท จำกัด ในปี 2557 ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน

    “ครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวยและมีปัญหาทางการเงิน ทำให้ต้องเริ่มต้นทำงานเป็นเซลส์ขายสินเชื่อรายย่อยตั้งแต่อายุ 18 ปี หลังจบการศึกษานอกโรงเรียนและเรียนพรีดีกรีที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเราสามารถสร้างยอดขายได้มากจนได้รับการทาบทามให้เป็นผู้จัดการสาขาธนาคารทางภาคเหนือที่อายุน้อยที่สุดในภาคพื้นเอเชียของ HSBC โดยระหว่างนั้นเราได้เรียนต่อปริญญาตรี นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และเริ่มทำหมู่บ้านจัดสรรหลังละ 5 ล้านบาท 15 หลังเฟสแรกที่เชียงใหม่ในวัย 23 ปี ซึ่งทุ่มหมดหน้าตักใช้เงินมัดจำที่ดิน 500,000 บาท และพยายามใช้เวลาที่ได้ 90 วันขอสินเชื่อจากธนาคารจนสำเร็จ เพราะเราเชื่อมั่นในโอกาสที่เล็งเห็นจากเศรษฐีระดับโลกส่วนใหญ่ในสมัยนั้นที่ลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น ถ้าเราอยากรวยเราต้องเดินตามรอยความสำเร็จของคนรวย”



    หลังจากประสบความสำเร็จในโครงการแรก วรเดชเล็งเห็นโอกาสการปรับเปลี่ยนธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สู่การให้บริการครอบคลุมผู้ประกอบการผู้พัฒนา (developer) และลูกค้ารายย่อยแบบครบวงจร  (one stop service) ไม่ว่าจะเป็นที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ที่อยู่อาศัย หรือการจัดหาบริการที่เกี่ยวเนื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เช่น การให้บริการนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ (ที่อยู่อาศัย/ที่ดิน) รวมถึงการให้บริการจัดหาผู้รับเหมาออกแบบ ตกแต่งภายในและภายนอก ก่อสร้างที่อยู่อาศัยหรือโครงการแนวราบและแนวสูง พร้อมทั้งเป็นนายหน้าด้านบริการเช่าอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท ได้แก่ บ้าน คอนโด ที่ดินเปล่า ออฟฟิศสำนักงาน โกดัง เป็นต้น

    “โครงการเฟส 2 เริ่มมีปัญหาเรื่องการขายทำให้เรากลับมาทบทวนการสร้างรอยเท้าของตัวเองแทนการตามรอยบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ ประกอบกับขณะนั้นเรามองเห็นความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย เราจึงเริ่มจากโจทย์การทำให้สินค้าหลายแบบอยู่กับเรา ไม่ว่าจะทำเลไหน จังหวัดอะไร เรามีหมดโดยที่ไม่ต้องใช้เงินทุนมาก เพราะเราเป็น SME ขนาดเล็ก จนเราได้ค้นพบไฟลิ่งของบริษัท Property Tech อเมริกาและฮ่องกง ซึ่งเล่าถึงวิธีการทำงานที่ไม่ใช่นายหน้า 3% แต่เป็นบริษัทที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ทั้งประเทศต้องใช้บริการและครองส่วนแบ่งตลาดสูงมาก เมื่อเทียบเป็น market cap ประมาณแสนล้านล้านบาทเท่ากับ ปตท. สมัยนั้น เราจึงเริ่มต้น R&C หรือ Research & Copy เหมือนครึ่งหนึ่งและเปลี่ยนบริบทให้เข้ากับไทย”

    วรเดชกล่าวถึงหนึ่งในจุดเปลี่ยนที่เป็นพัฒนาการสำคัญของบริษัทซึ่งแบ่งการให้บริการเป็น 3 กลุ่มธุรกิจหลักในปัจจุบัน ได้แก่ ธุรกิจนายหน้า ตัวแทน ในการซื้อ ขาย อสังหาริมทรัพย์และบริการจัดหาผู้รับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจซื้อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ประเภทบ้านมือสอง พร้อมทั้งกระจายโครงการตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย (ณ เดือนมีนาคม ปี 2566) ประกอบด้วยกรุงเทพฯ 74 โครงการ รอบกรุงเทพฯ 24 โครงการ ภาคเหนือ 4 โครงการ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 โครงการ ภาคตะวันออกมีโครงการที่บริษัทจำหน่าย  11 โครงการ และภาคใต้ 2 โครงการ โดยรวมยอดขาย 1.61 พันล้านบาท รายได้รวม 303.9 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 112 ล้านบาท ในปี 2566 เติบโตขึ้น 91.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน

    “ธุรกิจหลักยังเป็นตัวแทนบ้านมือหนึ่งในพื้นที่ภาคกลาง กรุงเทพฯ ภาคเหนือ ตะวันออก ซึ่งเราเลือกเปิดที่ศรีราชาเพราะเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่ได้รับการผลักดันให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือ EEC และเป็นเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูง โดยเรายังวางแผนเปิดศูนย์ที่ภาคใต้ในจังหวัดภูเก็ตปลายปีนี้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ขอนแก่นในปีหน้า ทั้งบ้าน คอนโด และสินทรัพย์เพื่อการลงทุน”

    สำหรับธุรกิจนายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท วรเดชมีความมั่นใจในฐานข้อมูลของลูกค้า และข้อมูลโครงการที่บริษัทเป็นผู้แทนอยู่ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงผู้ที่สนใจนำทรัพย์มาฝากขายในหลายทำเลและหลายระดับราคาขาย ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ city condo, mid market, hi-end market, luxury, super luxury รวมทั้งบริษัทยังให้บริการเป็นตัวแทนในการจำหน่ายที่ดินที่มีศักยภาพ หลากหลาย ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ พร้อมให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาที่ดิน การวิเคราะห์ความเป็นไปได้และศักยภาพที่ดินเชิงลึกอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์มีราคาขายที่สูงขึ้นและง่ายต่อการตัดสินใจซื้อหรือลงทุน

    ส่วนของธุรกิจนายหน้าจัดหาผู้รับเหมาก่อสร้าง บริษัทเป็นผู้ให้บริการเป็นผู้จัดหาผู้รับเหมา ด้วยการเป็นตัวแทนประสานงานและติดต่อผู้รับเหมาในการดำเนินงานก่อสร้าง ออกแบบ ตกแต่งภายใน รวมถึงปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซม และตรวจรับบ้าน โดยมีมูลค่างานตั้งแต่ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ ซึ่งบริษัทเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมโยงระหว่างผู้รับเหมามืออาชีพทั่วประเทศที่ได้ผ่านการคัดกรองและประเมินศักยภาพให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า

    ด้านธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าเป็นการให้บริการจัดหาผู้เช่าให้แก่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ หรือนักลงทุนที่ต้องการนำอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าแบบรายเดือนและรายปี โดยมีกลยุทธ์ในการบริหารธุรกิจด้วยการรับประกันผลตอบแทนเป็นการจ่ายค่าเช่าล่วงหน้า รวมถึงรายการส่งเสริมการขายอื่นๆ ซึ่งดำเนินงานภายใต้ บริษัท วีบียอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ VBMN


    นอกจากนั้น บริษัทยังเล็งเห็นโอกาสตลาดที่อยู่อาศัยมือสองที่ได้รับความนิยมมากขึ้นจึงได้จัดตั้ง บริษัท บ้านอินโนเวชั่น จำกัด ดำเนินธุรกิจซื้อทรัพย์นำมาพัฒนา ปรับปรุง ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเสริม smart home automation เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งในเดือนมีนาคม ปี 2566 บริษัทมีโครงการพร้อมขาย 2 โครงการคือ โครงการหมู่บ้านทิพย์มณี (ทาวน์โฮม) จังหวัดปทุมธานี จำนวน 14 หลัง ซึ่งได้จำหน่ายแล้ว 10 หลัง และโครงการภูมิใจนิเวศน์ อำเภอเทพารักษ์ จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 8 หลัง จำหน่ายหมดแล้ว และมีโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการ 2 โครงการคือ โครงการนันทิศา คู้บอน 30 จำนวน 15 หลัง และ โครงการทิพย์มณี (บ้านแฝด) จังหวัดปทุมธานี จำนวน 14 หลัง

    “บ้านอินโนเวชั่น เป็นบริษัทไฮไลต์ที่มีโอกาสเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถ้ารายได้เติบโตตามแผนที่วางไว้ เพราะในปัจจุบันคู่แข่งในตลาดยังเป็นรายย่อยที่ซื้อบ้านมือสองรีโนเวตขายครั้งละไม่เกิน 5 หลัง เพราะทุนไม่สูงมาก ซึ่งเราจะเข้าไปจับมือกับบริษัทบริหารสินทรัพย์นำบ้านมือสองมารีโนเวตเพิ่มมูลค่าให้เป็นบ้านพร้อมเข้าอยู่ขายในราคาที่จับต้องได้ โดยส่วนใหญ่ราคาบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาทในทำเลที่ดี ซึ่งเรายังไม่ทิ้งเรื่องการนำนวัตกรรมภายในบ้านที่เป็นเทคโนโลยี เช่น smart home,  EV charger, ประตูอัตโนมัติ โซลาร์เซลล์ช่วยให้ประหยัดค่าไฟ” 


ชูแพลตฟอร์มอสังหาฯ ครบวงจร

    ภายใต้ความมุ่งมั่นก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการขายและการเป็นตัวแทนนายหน้าชั้นนำของประเทศ วรเดชเดินหน้าสร้างการเติบโตทางธุรกิจและลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันธุรกิจและสอดคล้องกับเทรนด์ความเปลี่ยนแปลงทั่วโลกด้วยการให้บริการเป็นตลาดการซื้อขายสินค้าหรือบริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ Property Mall ซึ่งรวมสินค้าหลากหลายประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการซื้อ ขาย เช่า ซ่อม สร้าง ตกแต่ง และลงทุน พร้อมพัฒนาระบบค้นหาตัวตนอัจฉริยะหรือ AI นำเสนอสินค้าและบริการตอบโจทย์ผู้บริโภคในคอนเซ็ปต์ “One Click…Pick Your Home”

    “Property Mall เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายอสังหาฯ ที่ไม่มีรายได้จากพื้นที่โฆษณาซึ่งแตกต่างจากมีเดียอื่น ในทางตรงกันข้ามเรายังเป็นพันธมิตรกับมีเดียที่ลูกค้าเราหรือ agent นำสินค้าของเราไปขาย โดยปัจจุบันเราพัฒนา Property Mall ในรูปแบบเว็บไซต์และภายในปีนี้จะเปิดให้ใช้งานได้บนแอปพลิเคชัน เพื่อขยายฐานลูกค้าต่างประเทศเราจึงมีทั้งภาษาไทย อังกฤษ จีน และกำลังพัฒนาภาษาญี่ปุ่นให้ครอบคลุม 4-5 ภาษา รวมถึงเรายังต้องการให้แพลตฟอร์มทำได้มากกว่าการซื้อขายและลงทุนอสังหาฯ แต่ยังขยายช่องทางการขายอุปกรณ์ต่างๆ เกี่ยวกับบ้านครบ ecosystem ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น อุปกรณ์สมาร์ทโฮม หรือสินค้าที่เกี่ยวกับการสร้างความยั่งยืนอย่างโซลาร์ประหยัดพลังงาน รวมถึงการใช้ระบบ AI และเทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงลูกค้าและตอบโจทย์ความต้องการให้พร้อมแข่งขันในระดับโลก”

ดังนั้น วรเดชจึงมีความมุ่งมั่นยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้วยการใช้เทคโนโลยีเป็นอาวุธสร้างความแตกต่าง และเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุน โดยนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุนขยายกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจปัจจุบัน เช่น เงินทุนในการวางมัดจำเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิบริหารการขาย การพัฒนาโครงการประเภทบ้านมือสอง และการนำเงินลงทุนสำหรับใช้พัฒนาเทคโนโลยีในการให้บริการออนไลน์และระบบปฏิบัติการ รวมถึงการใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ


    นอกจากนั้น บริษัทยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจสร้างอีโคซิสเต็มต่อยอดมูลค่าเพิ่มและขยายฐานรายได้ใหม่ด้วยการจับมือกับพันธมิตร ได้แก่ บริษัท มาซูม่า (ประเทศไทย) จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบจัดการน้ำ อากาศ รวมถึงนวัตกรรมหุ่นยนต์บริการ และผลิตภัณฑ์เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนมากกว่า 30 ปี รวมถึง บริษัท ดี.ดี อินฟราสตรัคเจอร์ จำกัด ซึ่งให้บริการติดตั้งระบบไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ ประปา แอร์ และงานก่อสร้าง ตกแต่ง-ต่อเติม ทั่วประเทศไทย และ บริษัท ก้าวไกล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้เชี่ยวชาญและให้คำปรึกษา บริการออกแบบ-ติดตั้ง งานกระจก อะลูมิเนียมแบบมืออาชีพ เพื่อให้บริการได้อย่างครบวงจร (one stop service) ผ่านตัวแทนนายหน้ามากกว่า 3,000 คน และวางเป้าหมายเพิ่มจำนวนเป็น 30,000 ราย ภายใน 5 ปี

    “การเป็นผู้ประกอบการที่เติบโตจากฐานรากทำให้เราเข้าใจทุกมิติความคิด และเชื่อในการสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจแต่ละบริบทกับภาพที่เห็นเป็นภาพเดียวกัน และปลูกฝังความรักองค์กรให้ทีมงานภูมิใจในการมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการ พร้อมสร้างระบบให้สามารถบริหารกลไกและสร้างผู้นำโดยไม่ยึดติดกับบุคคลเช่นเดียวกับทีมฟุตบอลระดับโลกที่เปลี่ยนผู้เล่นและโค้ชกี่ครั้งก็ยังสร้างความนิยมได้ ถ้าวันหนึ่งเราไม่ใช่โค้ช VBEYOND ต้องต้องเติบโตต่อได้ เพราะ passion ของเราเมื่อทำงานถึงเส้นชัยแล้ว เราต้องการใช้เวลาทำประโยชน์เพื่อสังคม เช่น การเป็นที่ปรึกษาให้ความช่วยเหลือคนค้าขาย การนำเครื่องมือไปช่วยเขา ซึ่งการสร้างโรงพยาบาลเป็นความฝันสูงสุดของเราในการให้ที่ยั่งยืนและสามารถดูแลทุกคนได้”


 ภาพ: IR Plus