ก้าวต่อไปของแบรนด์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไลฟ์สไตล์สัญชาติไทย และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ anitech LAB+ SERIES ตอบโจทย์ New Normal พร้อมเดินหน้าคอมมูนิตี้ด้านการศึกษาใหญ่ที่สุดของประเทศในโปรเจ็กต์ Aniverse Metaverse มุ่งสู่การเป็น Tech Company สร้างการเติบโตระดับภูมิภาค
ระยะเวลามากกว่าทศวรรษของแบรนด์ฮาร์ดแวร์อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สัญชาติไทยมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการและการใช้งานของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยรวมผลิตภัณฑ์กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไลฟ์สไตล์กว่า 1,000 รายการ ภายใต้แบรนด์แอนิเทค (Anitech), โนบิ (Nobi), เอจี (aG) และเพนทากอนซ์ (Pentagonz) พร้อมขยายกลุ่มสินค้าสุขอนามัย และการพัฒนาระบบการเรียนการสอนของไทยด้วยการสร้างโลกการศึกษาเสมือนจริงใน Aniverse Metaverse เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเป็น tech company
“คุณแม่นัดให้เราเจอเพื่อนชาวฝรั่งเศสที่มาเมืองไทย ซึ่งเขาเป็นสตาร์ทอัพพัฒนา chipset สำหรับเกม Xbox, PlayStation ที่ฝรั่งเศส เราคุยกันถูกคอเพราะผมชอบเรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เราคุ้นเคยกับเครื่องคอมพิวเตอร์และสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ”
พิชเยนทร์ หงษ์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป จำกัด เล่าถึงจุดเปลี่ยนในชีวิตหลังสำเร็จการศึกษาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และตัดสินใจตอบรับเข้าร่วมปลุกปั้นธุรกิจสตาร์ทอัพเกี่ยวกับการผลิตชิปคอมพิวเตอร์ที่ประเทศฝรั่งเศสในวัยเพียง 22 ปี โดยเล็งเห็นถึงโอกาสการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้รวดเร็วขึ้นได้จากการย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย ทำให้บริษัทสามารถเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นและสร้างการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในธุรกิจเทคสตาร์ทอัพกว่า 3 ปี พิชเยนทร์จึงเริ่มต้นบุกเบิกธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้าประเภทอุปกรณ์เสริมอิเล็กทรอนิกส์ในไทยให้กับแบรนด์ระดับโลกจำนวนมาก พร้อมทั้งทำงานประจำในบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศควบคู่กันไป จนกระทั่งมั่นใจในยอดขายที่เติบโตถึงหลักร้อยล้านบาทจึงเป็นแรงผลักดันให้ลาออกจากการเป็นพนักงานบริษัทเพื่อเริ่มต้นก่อตั้งธุรกิจและสร้าง แบรนด์ Anitech อย่างจริงจังในปี 2549
- ค้นความต่างแจ้งเกิดแบรนด์ -
ประสบการณ์เป็นเจ้าของธุรกิจสินค้าไอทีและทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่จำนวนมากทำให้พิชเยนทร์เล็งเห็นความสำคัญของการสร้างแต้มต่อทางธุรกิจให้สามารถเติบโตในระยะยาวด้วยการสร้างแบรนด์ Anitech ซึ่งมาจากประโยคที่ว่า “Any technology for your lifestyle” ตอกย้ำภาพลักษณ์การพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานและความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม
“10 กว่าปีก่อนเทคโนโลยียังเป็นเรื่องไกลตัวมาก ยุคนั้นบริษัทติดอันดับโลกเพราะเรื่องแบรนด์ ซึ่งเราเห็นสัญญาณว่าถ้าเรารับจ้างผลิตในซัพพลายเชนคนอื่นไปเรื่อยๆ เราไม่มีแต้มต่ออะไรเลย เราจึงพัฒนาแบรนด์ขึ้นมาชื่อ Anitech จากการที่เราต้องการสร้าง Any technology for your lifestyle เทคโนโลยีอะไรก็ตามที่อยู่กับผู้คนหรือไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค โดยการทำงานในบริษัท consumer brand ทำให้เราต้องการชื่อแบรนด์ติดปาก เรียกไม่ยาก และสะท้อนตัวตนของบริษัทได้ รวมถึงไม่ทิ้งกฎเลขศาสตร์ทั้งไทยและอังกฤษเป็นตัวเลขมงคล เช่นเดียวกับชื่อ บริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป ก็ได้ตัวเลขที่ดีมาก ซึ่งความหมายก็ทำให้รู้สึกว่าเป็นบริษัทเกี่ยวกับเทคโนโลยี”
หลังทรานส์ฟอร์มธุรกิจจากการรับจ้างผลิตสู่การสร้างแบรนด์ Anitech เริ่มต้น ที่ผลิตภัณฑ์อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ยอดนิยม เช่น เมาส์ เนื่องจากมีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่และช่องว่างธุรกิจที่ชัดเจนในการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกเมาส์ที่สะท้อนตัวตนและสอดคล้องกับความต้องการที่หลากหลาย ทั้งขนาด สีสัน และลวดลาย รวมถึงรูปแบบการใช้งานที่ต่างกันพร้อมใช้ความพยายามข้ามผ่านความท้าทายทางธุรกิจและการสร้างแบรนด์ไทยน้องใหม่ให้ได้รับการยอมรับในตลาด
พิชเยนทร์ยังคงระลึกถึงช่วงเริ่มต้นธุรกิจจากยอดขายเมาส์ รุ่น A500 ในปีแรกได้ราว 5,000 ชิ้น และพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายปลั๊กไฟพร้อมช่องชาร์จไฟ USB รายแรกของประเทศ ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนให้บริษัทสามารถสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและแจ้งเกิดแบรนด์จากการสร้างความแตกต่าง รวมถึงตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้สำเร็จ
“เราเกิดจากอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ได้รับการยอมรับมากพอสมควร แต่อาจจะยังไม่ mass มาก หลังจากนั้นเราจึงทำอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ โดยปลั๊กไฟเป็นหนึ่งใน s-curve สำคัญที่เราพัฒนานวัตกรรมและปรับปรุงคุณภาพหลายอย่างจาก pain point ในตลาดที่เราเห็นคนซื้อปลั๊กไฟและซุกอยู่ตามบ้านจนเกิดอุบัติเหตุไฟฟ้าลัดวงจรขึ้น
ทำให้เราต้องการแก้ปัญหานี้ด้วยการปรับปรุงคุณภาพและปรับเป็น power bar ยากมากที่จะเกิดการลัดวงจร รวมทั้งการเลือกใช้พลาสติกไม่ลามไฟ สายไฟมาตรฐาน และกำลังไฟถูกต้อง ซึ่งเราได้เข้าไปเปลี่ยนภูมิทัศน์การแข่งขันปลั๊กไฟที่อยู่กับประเทศไทยมา 60 ปีให้คุณภาพต้องมาก่อนราคา สุดท้ายเราเป็นแบรนด์แรกที่มี USB ทำให้เรามีที่ยืนในตลาดและเข้าสู่ทุกบ้านได้ง่ายขึ้น โดยยังมีอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่ช่วยเปิดตลาดให้เราเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น”
ในปัจจุบันบริษัทสามารถจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในประเทศและต่างประเทศรวมประมาณ 2 ล้านชิ้นต่อปี ด้วยผลิตภัณฑ์ครอบคลุมด้านอุปกรณ์คอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์และผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย ได้แก่ กลุ่มอุปกรณ์เสริมคอมพิวเตอร์ (computer accessories) กลุ่มอุปกรณ์เล่นเกม (gaming gear) กลุ่มอุปกรณ์เสริมโทรศัพท์เคลื่อนที่ (mobile & gadget) กลุ่มอุปกรณ์ใช้งานในบ้าน (home device) เช่น กล้องวงจรปิด สายสัญญาณเสียง สายเชื่อมต่อ HDMI
“คีย์การเติบโตของเราเกิดจาก design, warranty และ variety ซึ่งเราเชื่อว่าอุปกรณ์ consumer electronics ไม่ได้ขายฟังก์ชันอย่างเดียว แต่แสดงถึงความเป็นตัวตนด้วย ดังนั้น ดีไซน์จึงมีส่วนสำคัญมาก รวมถึงเราแก้ปัญหาเรื่องฟังก์ชัน ความทนทาน และวิธีการใช้งานผ่านดีไซน์ที่สามารถปรับให้เข้ากับสไตล์ของคนได้ เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น และ variety มีความหลากหลาย โดยเราต้องการเป็นแบรนด์ที่อยู่รอบตัวชีวิตของผู้คน ด้วยกลยุทธ์การเพิ่ม lifetime value เมื่อลูกค้าเข้ามาอยู่ใน eco system ของเราแล้วไม่ได้จบแค่สินค้าตัวเดียว ซึ่งการสร้างแบรนด์ให้อยู่ในใจเขาทำให้เราสามารถสร้างการเติบโตได้”
นอกจากนั้น พิชเยนทร์ยังขยายธุรกิจกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน (home appliances) รวมถึงกลุ่มสินค้าเบ็ดเตล็ดในบ้าน (home & living) พร้อมทั้งต่อยอดธุรกิจในผลิตภัณฑ์กลุ่มสุขภาพและสุขอนามัย (health & hygiene) เช่น เครื่องฟอกอากาศ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและเทรนด์ความเปลี่ยนแปลงในอนาคต
“แบรนด์หลักเป็น Anitech แบรนด์รองชื่อ Nobi มาจาก Nobita เพื่อน Doraemon เป็นแบรนด์ที่เน้นการมองโลกในแง่ดี ราคาไม่แพง เน้นการส่งออกและขายในประเทศบ้าง รวมถึงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สำหรับเกมชื่อ Pentagonz กลุ่มอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มีเมาส์ คีย์บอร์ด ลำโพง อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และสินค้า anitech LAB+ SERIES”
พิชเยนทร์กล่าวถึงการต่อยอดกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยแบรนด์ แอนิเทค แล็บพลัส ซีรีส์ (anitech LAB+ SERIES) เพื่อสร้างความหลากหลายและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคด้วยสินค้าด้านสุขอนามัยที่ผ่านกระบวนการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการทดสอบจากสถาบันชั้นนำจากทั้งในและต่างประเทศ
- เดินหน้าสู่ Tech Company -
ภายใต้หมุดหมายการเป็น tech company พิชเยนทร์ยังให้ความสนใจการพัฒนาสินค้าและระบบ IoT อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากกองทุน Hawthorn Resources จำนวน 100 ล้านบาท ทำให้บริษัทเดินหน้าผลักดันระบบ IoT ขยายจาก B2B สู่สินค้า B2C เพิ่มมากขึ้น
“เรามีทิศทางการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในบริษัทมากขึ้นตั้งแต่วางกลยุทธ์การเป็น tech company ในปี 2561 เป็นต้นมา ซึ่งการเป็น tech company ไม่ใช่แค่มีแอปพลิเคชันหรือโมเดลธุรกิจเท่านั้น แต่ต้องนำหลาย layer มาซ้อนกัน โดยนำเทคโนโลยีมาผนวกเข้ากับธุรกิจดั้งเดิมหรือตั้งใหม่และใช้เทคโนโลยีเป็นหลัก
ซึ่งเราเกิดจากการเป็นผู้จัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ที่เป็นจุดแข็งของเรา และพัฒนาแอปเพื่อก้าวสู่ IoT ที่เป็นโลกอนาคตอย่างแท้จริง รวมถึงเรื่องเทคโนโลยีบล็อกเชนและ metaverse โดยเรามีการพัฒนา metaverse และแผนกพัฒนาเทคโนโลยีทั้งในบริษัทและพัฒนาให้คนอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเชชัน IoT บุคลากรและองค์ความรู้”
ขณะเดียวกันพิชเยนทร์ยังเดินหน้าโปรเจ็กต์ Aniverse Metaverse (แอนิเวิร์ส เมตาเวิร์ส) เชื่อมโยงโลกเสมือนแห่งอนาคตและโลกแห่งความจริงกับเทคโนโลยีที่สามารถแก้ปัญหาโครงสร้างระบบการศึกษาของไทย และลดความเหลื่อมล้ำของสังคมตามกลยุทธ์ Learn-to-Earn ด้วยฟีเจอร์โครงสร้างพื้นฐานจากเทคโนโลยีบล็อกเชนที่สร้างตัวตนทางดิจิทัลทุกรูปแบบผ่านระบบ Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR)
นอกจากนั้น บริษัทได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมมือทางวิชาการกับ 20 มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศสร้าง “Metaverse Education Community”คอมมูนิตี้ด้านการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยพัฒนาระบบการศึกษาไทยทั้งด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและเปิดโอกาสสำหรับนักลงทุน NFT เป็นเจ้าของ ANIV ซึ่งเป็น utility token สำหรับใช้ในโลก Aniverse บนแพลตฟอร์ม Coinstore พร้อมได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนและบริษัทชั้นนำเปิดโอกาสให้การศึกษาออนไลน์ของประเทศดำเนินการในรูปแบบ gamification และ metaverse
พิชเยนทร์ย้ำถึงการขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเป็น tech company ด้วยการปรับปรุงระบบจัดการภายใน เทคโนโลยีและพัฒนาสินค้า รวมถึงโอกาสในธุรกิจใหม่หรือ new s-curve อย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมตัวจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ให้สำเร็จ พร้อมวางเป้าหมายระยะยาวในการเป็นแบรนด์ระดับภูมิภาคที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคจำนวนมากกว่า 600 ล้านคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“เราพยายามเน้นไปที่กลุ่ม CLMV โดยจุดแข็งของเราอยู่ที่การเป็นแบรนด์ไทยซึ่งขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพเป็นแต้มต่อสำคัญ โดยปีนี้เรายังเน้นออนไลน์เป็นหลัก พร้อมวางกลยุทธ์ปรับตัวด้านดิจิทัลและการบริหารที่พยายามอยู่กับปัจจุบันมากกว่าการใช้ passion เปรียบเหมือนหน่วย Navy Seal ที่สามารถฝึกสำเร็จได้เพราะคิดแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าและทำให้ดีที่สุด
เราต้องไม่เดินเกมผูกกับอนาคตแต่ต้องปรับกลยุทธ์ lean ตัวเองให้มากขึ้นและหา new s-curve ใหม่ พัฒนาระบบ ปรับ mindset ซึ่งในประวัติศาสตร์ทุกวิกฤตมีจุดสิ้นสุดเสมอ และเมื่อวันที่ตลาดกลับมาคุณก็จะมีความพร้อมวิ่งต่อไปได้ รวมถึงความท้าทายในเรื่อง generation gap และการ transform บริษัทที่ต้องเริ่มจากผู้นำมีความเข้าใจ ทำเป็นกระบวนการทีละนิดให้ทั้งองค์กรเห็นถึงความสำคัญทำงานร่วมกันเป็นทีมจน transform ตัวเองได้”
ภาพ: บริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป จำกัด
อ่านเพิ่มเติม:
>> สมชาย เลิศขจรกิตติ ปรับรถให้เย็นฉ่ำด้วย PACO
>> "David Berns" และ "Paul Kim" หัวกะทิแห่ง Simplify