ประภาวดี โสภณพนิช นำศิลปะไทยสู่เวทีนักสะสมโลก - Forbes Thailand

ประภาวดี โสภณพนิช นำศิลปะไทยสู่เวทีนักสะสมโลก

นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กลุ่มลักชัวรี่ที่ชื่นชอบในศิลปะและแบ่งเวลามาบริหาร “คริสตีส์ ประเทศไทย” มุ่งมั่นผลักดันให้ศิลปินไทยเป็นที่รู้จัก ในกลุ่มนักสะสมบนเวทีการประมูลระดับโลก


    “คริสตีส์” เป็นสถาบันการประมูลชั้นนำที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1766 โดย James Christie ตลอดระยะเวลากว่า 250 ปีได้ให้บริการที่หลากหลาย ทั้งซื้อขายงานศิลปะ ของสะสม รวมถึงการประมูล การขายส่วนตัว และประมูลผ่านช่องทางออนไลน์ โดยจัดประมูลประมาณ 350 ครั้งต่อปี ครอบคลุมกว่า 80 หมวดหมู่ สนนราคาตั้งแต่ 500 เหรียญสหรัฐฯ ถึงมากกว่า 100 ล้านเหรียญ

    สำหรับสำนักงานคริสตีส์ ประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นในปี 2541 หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง 1 ปี “เมื่อก่อน Christie’s ดูแค่ไทย ปีที่ผ่านมาทางเรา recognize มากขึ้น เพื่อนบ้านเจริญเติบโต สะสมศิลปะและ luxury มากขึ้นจึงใช้กรุงเทพฯ เป็น based” ประภาวดี โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการ คริสตีส์ ประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว เมียนมา (CLMVT) บางครั้งเธอแทนตัวด้วยชื่อเล่นว่า “นก” ระหว่างให้สัมภาษณ์ทีมงาน Forbes Thailand ที่สำนักงานกรุงเทพฯ บนชั้น 20 ของอาคารเกษร ทาวเวอร์

    ประภาวดีได้รับการทาบทามให้เป็นผู้บริหาร คริสตีส์ ประเทศไทย เมื่อ 6 ปีก่อนควบคู่กันนั้นเธอยังทำธุรกิจส่วนตัวด้วย โดยเป็นกรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง บริษัท บริษัท ไอเดียส์ 1606 จำกัด บริษัทผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวบูทีกชั้นนำของประเทศไทยแบรนด์เวลา (VEYLA)

    “ตอนเริ่มเรียนรู้จาก Christie’s เราบอกสนใจอาร์ต เรียนมานิดหน่อยแต่ไม่ expert จะรู้ยังไง Chairman of Asia บอกว่า you just read catalogue Christie’s แล้ว you จะรู้ว่าตลาดเราคืออะไร ก็เริ่มอย่างนี้ ถ้าดู catalogue ก็จะเห็นว่าตอนนี้ Western Art หรือ Chinese Art กำลังมา...ข้อดีที่เป็น privilege จากการทำงานนี้คือ เหมือนเขาจ่ายเงินให้เรามาเรียนรู้ ไม่ได้เรียนรู้จาก Christie’s อย่างเดียว แต่เรียนรู้จาก collector ด้วย คนทำงานอาร์ต สะสมอาร์ต ต้องหิววิชานิดหนึ่ง อยากเรียนรู้ตลอดเวลา"

    “Christie’s เป็น secondary market ถ้าไม่มีเราก็ไม่มี liquidity ใน market ไม่มีการซื้อขาย เราช่วยศิลปินและช่วย art ecosystem เวลาที่ซื้อกัน between collector หรือแกลเลอรี ถ้าไม่มี secondary market คุณไม่มีทางรู้ว่าอันไหนควรลงทุน งานควรจะไปยังไง คนชอบบอกว่าซื้ออาร์ตเพราะชอบหรือรัก แต่เราก็รู้สึกดีถ้ารู้ว่างานที่รักมันมี value มากขึ้น เพราะฉะนั้นงาน secondary market จึงสำคัญ”


ปรับพอร์ตใหม่

    ก่อนที่ประภาวดีเข้ามาบริหาร “คริสตีส์ ประเทศไทย” มีรายได้จากสินค้าลักชัวรี่และงานศิลปะคิดสัดส่วนเป็น 90/10% แต่เธอต้องการให้ผลงานของศิลปินไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มนักสะสมและผู้รักศิลปะทั่วโลก ซึ่งก็ทำได้สำเร็จดังจะเห็นว่าระยะไม่กี่ปีมานี้ผลงานของศิลปินไทยสร้างสถิติอย่างต่อเนื่อง และพอร์ตรายได้งานศิลปะขยับเพิ่มจากเดิมหลายเท่าตัว “บางที 70/30, 50/50, 60/40 เราค่อนข้างพอใจกับพัฒนาการ”

    ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อนนักสะสมไทยมักสะสมนาฬิกา เครื่องประดับ รถยนต์ เพราะจับต้องได้ง่ายมีมูลค่าชัดเจน ทว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งจะมองหาสิ่งใหม่ๆ มาเติมเต็มความต้องการ

    “เป็นหน้าที่เราที่จะ support เขาว่าถ้า (สะสม) อาร์ต sky unlimited จะไป Thai Art ก็ได้ ยังมี Thai Modern Art, Contemporary Art หรือ female artist คือสามารถสะสมไปได้เรื่อยๆ พอสะสมถึงจุดอิ่มตัวอาจเปลี่ยน direction ได้อีก ภาษาไทยเรียกว่า addictive พอเข้ามาอยู่ในวงการศิลปะแล้วออกไม่ค่อยได้ มันมีหลาย lane พอเขา migrate มาก็เริ่มสนุก มุมมองกว้างขึ้น” ประภาวดีเล่าด้วยน้ำเสียงที่สนุกสนานพร้อมกลั้วหัวเราะน้อยๆ


ผลงานของ 'ถวัลย์ ดัชนี' ปี 1966 ถูกประมูลในราคา 3.27 ล้านเหรียญฮ่องกง


ขยายสู่ CLMV

    ปี 2566 ประภาวดีได้ขยายบทบาทหน้าที่มาดูแลตลาดใน CLMV ด้วย แม้จะอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน ทว่าแต่ละประเทศมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน

    “นกคิดว่าศิลปะมัน reflex การเมืองกับ history ของประเทศ การซื้อของเราเริ่มจาก collector ไม่กี่ท่าน เป็นผู้ใหญ่เริ่มสะสมมาเฉพาะศิลปินไทยกันเอง ตลาดจึงค่อนข้างแคบ แต่ตลาดเวียดนามความที่ศิลปินเหล่านี้หลังสงครามโลกมีการอพยพไปอยู่ฝรั่งเศส คนยุโรปซื้อเก็บไว้บ้าง คนอเมริกันที่เห็นงานแล้วชอบก็ซื้อเก็บไว้ คนยุโรป อเมริกัน เก็บไว้นานแล้วเอามาขาย และคนเวียดนามซื้อกลับไป เดิมเขายากจนแต่ตอนนี้เขามีฐานะและกลับประเทศมาทำธุรกิจ อยากซื้ออาร์ตกลับมาบ้าง เป็นลักษณะการพัฒนาที่ไม่เหมือนกัน จึงมีฐานการสะสม การซื้อ กว้างกว่าไทยที่เริ่มจากกลุ่มเล็กๆ ในประเทศแล้วค่อยขยาย”

    ความสำเร็จที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ การผลักดันให้ผลงานของศิลปินไทยหลายชิ้นเข้าไปอยู่ในเซสชั่น Inaugural Evening Sales ซึ่งเธอบอกว่า “ไม่ใช่แค่เรื่องของเงินอย่างเดียว แต่หมายความว่า ผลงานของศิลปินเป็นที่ยอมรับและมีความสำคัญ เราภูมิใจมากที่งานอาจารย์ถวัลย์ได้ไปอยู่ในระดับนั้น และดีใจที่ได้โปรโมตอาจารย์ประเทืองใน Evening Sales 2 ครั้ง...Evening Sales ทั้งปีในฮ่องกงมีแค่ 2 คืน คืนหนึ่งมี 100 กว่าชิ้นงาน เขาต้อง curate และ select เข้าไปเราก็ so proud

    “5 ปีมานี้ revenue โต 3-4 เท่าก็ happy ถ้าเขา happy ก็ allow ให้ไปโชว์งานที่เมืองนอก ที่ฮ่องกงเมื่อก่อน Christie’s ไม่ค่อยรู้จัก (งาน) คนไทย เรายังเล็กกว่าเวียดนาม แต่เมืองไทยยังไปได้อีก... 5 ปีที่ผ่านมา industry โตขึ้น และเราอยากโปรโมต Southeast Asia และ Thai Art มากขึ้น เป็นที่มาของการโฟกัสในการหางาน เพื่อไปโชว์ใน global state...รับงานมาเป็นปีที่ 6 เห็นการเปลี่ยนแปลงเยอะ mandate ของนกในการทำงานนี้คือ พัฒนา fine art ให้มากขึ้น ตอนที่เข้ามา 90% ของ revenue ยอดขาย Christie’s เมืองไทยเป็น luxury ซึ่ง collector ที่อยู่ในระบบมี 5 ท่าน และไม่ active มากเท่าไร เราเริ่มต้นจาก based เล็กๆ Christie’s ใน global ครึ่งๆ เป็น art มากกว่า”

    สำหรับเป้าหมายในอนาคตคือ มีผลงานของศิลปินไทยเข้าร่วมเวทีประมูลคริสตีส์ทุกครั้ง ด้วยจำนวนชิ้นงานที่มากขึ้น โดยเฉพาะงานโมเดิร์นอาร์ตและคอนเทม-โพลารีอารต์ และมีเซสชั่นประมูลงานศิลปะของเซาต์อีสต์เอเชียโดยเฉพาะ



ภาพ : Christie’s Thailand



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : สัมผัสศิลปะบนผืนผ้าที่ชวนให้หลงใหล ผ่านบทบาทของ "ธันยลักษณ์ พรหมมณี"

อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ในรูปแบบ e-magazine