เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล มนุษย์ผู้เห็นเงินในอากาศ ความสุข-ความฝัน ปั้น SMEs ไทยให้สำเร็จ - Forbes Thailand

เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล มนุษย์ผู้เห็นเงินในอากาศ ความสุข-ความฝัน ปั้น SMEs ไทยให้สำเร็จ

นอกจากมี DNA ของนักขายและมีจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการแล้ว จิตใจที่ไม่ยอมแพ้ยังทำให้ ‘เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล’ ปลุกปั้น ‘สยามเฮลท์ กรุ๊ป’ พาแบรนด์ไทยอย่างสมูทอีและเดนทิสเต้ไปไกลทั่วโลก หลังภารกิจถึงฝัน มนุษย์ที่นิยามตัวเองว่าเป็นคนเห็นเงินในอากาศอย่างเขาได้มีแพสชั่นใหม่ ซึ่งไม่ใช่การสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเอง แต่เป็นการบ่มเพาะ SMEs ไทยให้สำเร็จและร่ำรวย


    “ทำไมผมถึงมาเป็นอาจารย์รู้ไหม เพราะผมเป็นคนที่เห็นเงินในอากาศตลอดเวลา แต่ผมมีแค่ 2 มือ ผมหยิบไม่ทัน ฉะนั้นการที่ผมไปสอนหนังสือ เด็กในห้องมี 40 คน เท่ากับมี 80 มือ ในเมื่อผมเห็นแล้วผมหยิบไม่ทัน ผมก็ให้เด็กไปหยิบแทนผม” คือบทสนทนาในช่วงแรกที่ เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล พูดคุยกับ Forbes Thailand ณ สำนักงานของบริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด บนถนนสาทรเหนือในช่วงสายวันหนึ่ง

    คำบอกเล่าของเขาตอกย้ำถึงจุดมุ่งหมายสำคัญในชีวิตปัจจุบัน ที่แปรเปลี่ยนจากการโฟกัสที่ธุรกิจของตัวเองอย่างแบรนด์สมูทอีและเดนทิสเต้ ไปเป็นการมีความสุขจากการปลุกปั้น SMEs ไทยให้ประสบความสำเร็จ ผ่านโรงเรียนบ่มเพาะธุรกิจ BIS (The Business Incubation School) ที่เขาก่อตั้งเมื่อ 11 ปีก่อน ด้วยแนวคิดที่ว่าอยากให้คนเรียนได้รับการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จากนักธุรกิจตัวจริงที่ทำธุรกิจแล้วประสบความสำเร็จ

    หนึ่งในนักธุรกิจตัวจริงเสียงจริงที่มาสอนก็คือตัวเขาเอง เส้นทางธุรกิจของเภสัชกร ดร.แสงสุข นั้นผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความล้มเหลวมาหลายครั้งหลายหน ได้ประสบการณ์ที่พร้อมถ่ายทอด และช่วยหาวิธีให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ประสบความสำเร็จไปด้วยกัน


DNA นักขาย-หัวใจผู้ประกอบการ

    ทักษะการทำธุรกิจของเภสัชกร ดร.แสงสุข ดูเหมือนจะเริ่มปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก จากครอบครัวของเขาที่ดำเนินธุรกิจนำเข้าและส่งออกสมุนไพรจีน และเขามีโอกาสช่วยเหลืองานในบ้านแทบทุกอย่าง ตั้งแต่การจัดเก็บสมุนไพร ไปจนถึงการนำเช็คไปเข้าธนาคาร

    ความคลุกคลีกับยา ทำให้เมื่อเติบใหญ่เขาเลือกเรียนที่คณะเภสัชศาสตร์ หลังเรียนจบเขาเริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยอาชีพดีเทลยา หรือผู้แทนยา ซึ่งมีหน้าที่คือการเสนอยาจนถึงวัคซีนให้โรงพยาบาลต่างๆ

    การเป็นคนชอบพูด ชอบคุย มีทักษะการเจรจา ทำให้เขาสามารถทำยอดขายอยู่กลุ่มขายได้มาก นั่นทำให้เขาเริ่มสนใจธุรกิจมากขึ้นจึงเลือกหาทุนการศึกษาไปเรียน MBA ที่สหรัฐอเมริกา

    “ไม่รู้ว่าผมได้เชื้อจากพ่อหรือว่าอะไร ถ้าตรวจ DNA ผมจะเป็นคนที่เห็นโอกาสตลอดเวลา ผมพูดมาตั้ง 30 ปีแล้ว ผมเป็นมนุษย์ที่เห็นเงินในอากาศ เวลาผมไปไหน ผมจะเห็นว่าตัวนี้ขายได้ ตัวนี้ทำเงินได้ ตัวนี้ถ้าเข้าประเทศไทยต้องขายได้แน่นอน”



    หลังเรียนจบจากสหรัฐฯ เขากลับมาทำงานบริษัทเอกชนในตำแหน่ง Marketing Planning อยู่ประมาณ 6 ปี แต่ไม่ค่อยรุ่งเท่าไหร่ เพราะด้วยความเป็นคนเห็นโอกาสใหม่ๆ เสมอ จึงอยากทำนู่นทำนี่ตลอดเวลา ขณะที่ระบบของบริษัทใหญ่ที่เน้นให้คนลงลึกไปด้านใดด้านหนึ่งอาจไม่เอื้อให้เขาทำแบบนั้น

    นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการออกมาทำธุรกิจแรกของเขานั่นก็คือ “ร้านขายยา” ที่ศูนย์การค้าสยาม แม้จะเป็นร้านขายยาที่มีขนาดเล็กมากคือ 6 ตารางเมตร แต่ก็ขายดีมีกำไร ด้วยจุดเด่นสำคัญที่เหนือกว่าร้านอื่นคือสกิลภาษาอังกฤษอันคล่องแคล่วของเขา ทำให้สื่อสารกับนักท่องเที่ยวได้

    แม้ใน 4 ปีต่อมา ร้านขายยาของเขาจะไม่ได้ไปต่อเพราะหมดสัญญาเช่าพื้นที่ และเจ้าของที่ไม่ต่อสัญญาเพราะมีคนมาเสนอราคาที่สูงกว่าเดิมมาก แต่นั่นก็เป็นจังหวะที่ทำให้ เภสัช ดร.แสงสุข ได้ก้าวเข้าสู่การทำธุรกิจครั้งใหม่

    ประสบการณ์ 4 ปีในการทำร้านขายยาทำให้เขามองเห็นว่าสินค้าตัวไหนขายดี โปรดักต์ไหนเป็นที่ต้องการ และนำมาสู่การ ‘คัดสรร’ โปรดักต์ฮีโร่ของเขานั่นเอง


ทำธุรกิจ ทักษะเดียวกับเล่นพนัน

    “ผมเรียนรู้วิธีการทำธุรกิจ ด้วยหลักการที่ใช้ในบ่อน” เภสัชกร ดร.แสงสุข ย้อนถึงหลักการในการทำธุรกิจของเขาให้ฟังว่ามาจากการเรียนรู้การเล่นการพนัน โดยตั้งแต่สมัยเรียนที่อเมริกา เขาใช้เวลาช่วงปิดเทอมกับเพื่อนขับรถไปแหล่งเสี่ยงโชคตามเมืองต่างๆ  กำเงิน 200 เหรียญสหรัฐฯ เข้าไปท้าทายดวงชะตา

    “ผมไม่เคยเสียเลยนะ ไป 6 ครั้ง ผมไม่เคยเสียสักครั้ง ผมได้มาหมด ไม่ได้มีโชค แต่ว่าเราใช้หลัก ‘สถิติ’ เลย เล่นอย่างผมไม่มีทางเสีย แต่ไม่รวยนะ ได้เป้าที่เราตั้งไว้ เราตั้งไว้ 200 หรือ 400 มันก็จะพอแล้ว”

    หลักสถิติที่เขาว่านำมาใช้เริ่มต้นธุรกิจ เขาเล็งเห็นว่ามีสินค้า 10 อย่างที่มีโอกาสทำเงินได้ หลักการคือถ้าไปรุ่งแค่เพียงตัวเดียว แค่นี้ก็รวยแล้ว

    ความที่จบเภสัชฯ ทำให้เขาเล็งเห็นแล้วว่ายาเป็นสินค้าที่มี Product Life Cycle ยาว ยาบางตัวมีอายุการขายได้นานเป็นหลักร้อยปีแม้ว่าจะไม่ได้ทำการตลาดมากนัก นั่นทำให้สินค้า 10 ตัวแรกของเขาเป็นกลุ่มยาทั้งหมด

    “ผมรู้อย่างหนึ่งว่าใน 10 ตัวนี้ มันต้องรอดสักตัวนึง ตามหลักการที่ผมเดินเข้าไปในบ่อน ปรากฏว่ามีตัวที่รอดนั่นก็คือ สมูทอี ส่วนตัวที่ไม่รอดไม่ได้แปลว่าผมเจ๊งนะ แต่มันกำไรน้อย หรือทำๆ ไปแล้วมีคู่แข่งเยอะ ก็ค่อยๆ เฟดไป”

    เมื่อได้แบรนด์ฮีโร่มาแล้ว เภสัชกร ดร.แสงสุข จึงค่อยๆ ต่อยอดสร้างความแข็งแรงให้แบรนด์สมูทอีมากขึ้น โดยขยายโปรดักต์จากครีมมาสู่โฟมล้างหน้าและครีมกันแดด เป็นต้น


    สมูทอีมาถึงช่วงพีคในปี 2540 ที่แม้ประเทศไทยจะเผชิญวิกฤตต้มยำกุ้งจนหลายบริษัทชะลอการลงทุนและการทำการตลาดออกไป แต่สมูทอีกลับเห็นโอกาสที่ว่าไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน ผู้หญิงก็อดสวยไม่ได้ จึงเร่งทำการตลาดในช่วงนี้ ผลลัพธ์คือสินค้าของสมูทอีขายดีจนยอดขายในปีนั้นพุ่งขึ้นมาแตะที่ระดับ 500-600 ล้านบาท จากเดิมที่อยู่ประมาณ 100 ล้านบาท


พิสูจน์ความสามารถด้วย ‘เดนทิสเต้’

    หลังจากวิกฤตต้มยำกุ้ง ตลาดสกินแคร์ในไทยก็เริ่มคึกคัก บริษัทต่างชาติใหญ่ๆ หลายแห่งเริ่มกระโดดเข้ามาในไทย พร้อมทุ่มงบการตลาดเต็มที่ ทำให้เภสัชกร ดร.แสงสุข เริ่มรู้สึกกดดันเล็กๆ ว่าการมีโปรดักต์ฮีโร่แบรนด์เดียวนั้นเหมือนยืนอยู่บนขาเดียว ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ จึงเกิดไอเดียว่าต้องทำสินค้าอีกแบรนด์เพื่อให้บริษัทมั่นคง

    แต่นอกเหนือไปจากแรงกดดันของผู้เล่นรายใหม่แล้ว ‘จิต’ ของความเป็น Entrepreneur ของเขา

    “การทำธุรกิจมันอยู่ที่จิตนะ มันต้องตอบให้ได้ว่า Why we do? What we do? ถ้าตอบผิดนะ ธุรกิจไม่ค่อยไปไกลเท่าไหร่ คุณทำธุรกิจเพื่ออะไร? ถ้าคุณบอกก็เพื่อเงินไง เพื่อกำไร เพื่อความอยู่รอด มันก็ถูก ได้ แต่ถ้าเกิดคุณทำอะไรเพื่ออะไรบางอย่างที่อยู่ภายใต้จิต มันจะขึ้นไปอีก 10 เท่า”

    เขาอธิบายถึงเป้าหมายในการทำธุรกิจของเขานั่นคือการพิสูจน์ว่าตนเองเป็นคนเก่งและมีความสามารถในเรื่องมาร์เก็ตติ้ง

    “ผมคุยกับเพื่อนในกลุ่ม ผมบอกตัวเองว่าถ้าผมเก่ง Marketing ผมต้องทำสินค้าตัวนึงให้เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ ผมไม่ได้ทำเพื่อเงินแล้วนะ ผมต้องการทำให้คนรู้จักทั้งประเทศ และผมไม่หยุด ตราบใดที่แบรนด์ยังไม่รู้จัก ผมจะทำต่อ”

    จิตที่อยากพิสูจน์ว่าตนเองเก่งและมีความสามารถจริงนำมาสู่แรงผลักดันในการสร้างแบรนด์ที่สองให้สำเร็จด้วยเป้าหมายที่ว่า “ถ้าเอ็งเก่งจริง เอ็งต้องทำสินค้าตัวนึงให้เป็นที่รู้จักของคนทั้งโลก!”

    เขาเริ่มถามเพื่อนๆ ในแวดวงธุรกิจมีจะทำสินค้าอะไรดี ทุกคนรอบตัวเขาบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าจะทำอะไรก็ได้ แต่อย่าทำยาสีฟัน ด้วยเหตุผลว่าไม่ค่อยเห็นใครทำยาสีฟันแล้วประสบความสำเร็จ และเป็นโปรดักต์ที่มีรายใหญ่ระดับโลก 3 แบรนด์ครองตลาดแล้ว อีกทั้งยาสีฟันยังเป็นสินที่คนเราไม่ค่อยเปลี่ยนแบรนด์มากนักเพราะความคุ้นชินในรสชาติ แต่นั่นไม่ใช่ความคิดแบบเภสัชกร ดร.แสงสุข

    “สกินแคร์มี (คนทำ) เยอะแยะ แต่ยาสีฟันมีแค่ 3 บริษัท มันก็น่าจะเป็นโอกาสหรือเปล่า”

    นั่นทำให้เขาตัดสินใจออกสินค้าใหม่เป็นยาสีฟันในปี 2546 แต่ธุรกิจนี้ไม่ง่าย ช่วงเวลา 2 ปีที่เข้ามาในตลาดนี้ ยาสีฟันของเขาหลายแสนหลอดขายแทบไม่ได้ เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เขาเจ็บหนัก “แต่หลังจากเจ๊ง ผมเป็นคนที่ยึดหลักอันนึงที่คนประสบความสำเร็จยึดคือ Never Give Up! ผมเสียดาย เลยทำใหม่”



    การเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ทำให้เขาสู้ต่อกับเดนทิสเต้อีกครั้งด้วยวิธีที่มีหลักการมากขึ้น เขาอาศัยการส่งตัวอย่างโปรดักต์และเขียนจดหมายไปให้ทันตแพทย์ในประเทศไทยเพื่อขอคำแนะนำ ถ้าส่งกลับมาจะมีของที่ระลึกให้

    จดหมายตอบกลับกว่า 1,000 ฉบับจากที่ส่งไปหาทันตแพทย์ทั้งหมด 8,000 ฉบับ ส่งกลับมาดึงสยามเฮลท์ กรุ๊ป จนสามารถนำวิเคราะห์และได้ข้อมูลที่นำไปพัฒนายาสีฟันสำหรับใช้ก่อนนอน

    “ทันตแพทย์แนะนำว่า คนเราตอนนอนหลับ น้ำลายไม่ไหลออกมา เชื้อแบคทีเรียจะเจริญเติบโตตอนเรานอน ตอนเช้าก็เลยรู้สึกไม่สดชื่น ถ้าได้แปรงฟันก่อนนอนมันจะช่วยได้มาก นี่คือจุดที่เราพัฒนาขึ้นมา” จากชื่อเดิมที่ใช้ว่า Plus White สยามเฮลท์ กรุ๊ป ตั้งชื่อให้ยาสีฟันตัวใหม่ว่า Dentiste Plus White เพื่อให้เครดิตทันตแพทย์ที่ให้คำแนะนำ

    โปรดักต์ที่ดีผสมผสานกับการทำการตลาดอย่างชาญฉลาด โฆษณาที่ทำให้เดนทิสเต้กลายเป็นที่จดจำคือโฆษณาที่ว่าด้วยคู่รักอยู่บนเตียง แต่ละฝ่ายส่งสัญญาณบอกกันว่า “เธอไปอาบน้ำก่อนสิ” โดยไม่มีคำพูด แต่สามารถสื่อได้ชัดเจน ผลลัพธ์คือเดนทิสเต้ขายได้มากขึ้น ก่อนเขาจะใช้แนวคิดเดียวกันนี้ขยายตลาดไปต่างประเทศ เริ่มที่ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฯลฯ จนปัจจุบันเดนทิสเต้ขยายไปกว่า 25 ประเทศทั่วโลกแล้ว พร้อมลุยขยายสู่ตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปต่อ


    อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ในการช่วยส่งเสริมการเติบโตให้เดนทิสเต้ได้อย่างมีนัยสำคัญ นั่นก็คือกลยุทธ์การตลาดในการใช้ศิลปินดาราเข้ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์และแบรนด์แอมบาสเดอร์ โดยสยามเฮลท์ กรุ๊ป คว้าตัวศิลปินหญิงชาวไทยที่โด่งดังไกลระดับโลกอย่าง “ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล” มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ได้เป็นปีที่ 3 แล้ว

    ในข่าวก่อนหน้านี้ เภสัชกร ดร.แสงสุข กล่าวว่า เหตุผลที่ยังคงเลือกลิซ่าเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่างต่อเนื่อง เพราะหลังจากร่วมงานกันครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2564 ด้วยชื่อเสียงของลิซ่าที่โด่งดังในระดับสากล มีภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ที่ทันสมัย และเป็นตัวแทนของกลุ่มคน Gen Z จึงช่วยผลักดันให้มูลค่าแบรนด์เดนทิสเต้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว และดันยอดขายได้จริงประมาณ 50-100% ในช่วงที่ลิซ่าเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ทั้งสองครั้งก่อนหน้า

    “ในหลายๆ ตลาดต่างประเทศที่เดนทิสเต้เข้าไปนั้น เดิมทีเป็นตลาดที่เจาะยาก เช่น ญี่ปุ่น แต่การดึงลิซ่ามาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ทำให้เดนทิสเต้เข้าถึงตลาดเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น อย่างญี่ปุ่นสามารถเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ได้เป็นเท่าตัว หรือในเกาหลีใต้เราก็มีมาร์เก็ตแชร์ถึง 12% ขณะที่ในไทยเรามีมาร์เก็ตแชร์ 7-8% เท่านั้น เรียกได้ว่าลิซ่าส่งผลบวกต่อแบรนด์มากมายมหาศาล” เภสัชกร ดร.แสงสุข กล่าวในงานแถลงข่าวการจัดงาน DENTISTE' Presents LISA Fan Meetup in Asia 2024 – Bangkok หรืองานแฟนมีตครั้งล่าสุดในไทยของลิซ่าที่เดนทิสเต้เป็นผู้สนับสนุนหลัก


    “เดนทิสเต้มุ่งสนับสนุนลิซ่า ซึ่งเป็นคนไทยโด่งดังระดับโลก นอกจากเป็นศิลปิน ยังเปิดบริษัทระดับโลกเป็นของตัวเอง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าคนไทยไม่แพ้ชาติอื่น เช่นเดียวกับเดนทิสเต้ที่เป็นผลิตภัณฑ์พรีเมียมที่มีคุณภาพสูงไม่แพ้ชาติใดๆ การสนับสนุนลิซ่าซึ่งเป็น Soft Power เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ให้กับสังคมไทย และสุดท้ายก็กลับมาเสริมแบรนด์สินค้าเดนทิสเต้ให้แข็งแกร่งเป็นที่ยอมรับในระดับโลก”


Marketing หรือ Product อะไรสำคัญกว่ากัน

    แม้เภสัชกร ดร.แสงสุข จะอยากพิสูจน์ตัวเองในแง่ของการทำ Marketing ให้สินค้าของเขาเป็นที่รู้จักทั้งระดับประเทศแต่ระดับโลก ซึ่งเขาทำสำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยืนยันว่า ‘การมีสินค้าที่ดี’ เป็นเรื่องสำคัญกว่า

    “Product Innovation สำคัญกว่า Marketing มากนะ ถ้าคุณมีสินค้าที่ดี แตกต่าง ตอบโจทย์ความต้องการและแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ จบ แทบไม่ต้องโฆษณาเลย แค่กระซิบเบาๆ คนก็แย่งกันมาซื้อแล้ว แต่ถ้าโฆษณาด้วย ประชาสัมพันธ์ด้วย ก็จะเร็วขึ้น”

    เขายังอธิบายด้วยว่าสินค้าที่ดีจะทำให้เกิดการบอกกันปากต่อปาก สร้างการเติบโตดังกราฟที่ค่อยๆ พุ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่อาจจะไม่ชันมากนัก และถ้าสินค้าดีพร้อมทำการตลาดได้ดี การเติบโตจะพุ่งขึ้นจนกราฟชันมาก แต่ถ้าสินค้าธรรมดาหรือไม่ดี โฆษณาธรรมดาหรือไม่ดีด้วย ธุรกิจก็จะไม่ดี เป็นกราฟที่หักหัวลงมานั่นเอง



สร้างสถาบันปั้นผู้ประกอบการไทยให้สำเร็จ

    “สินค้าต้องดี สินค้าต้องแตกต่าง สินค้าต้องช่วยตัวเอง สินค้าต้องตอบโจทย์ เพราะฉะนั้นผมเลยบอกเด็กนักเรียนทุกคนว่า อย่างแรกคุณต้องหา Winning Zone (การหาจุดที่ลูกค้าต้องการแต่คู่แข่งเรายังไม่มีสิ่งนี้) ถ้าหาไม่เป็นเดี๋ยวผมช่วยหา Winning Zone มี 2 แบบ ทั้งอารมณ์และเหตุผล

    “อันที่ 2 ถ้าคุณอยากรวยต้องหาให้เจอคือ Unmet Need ซึ่งเป็นสิ่งที่คนอยากได้แต่ยังไม่มีบริษัทไหน หรือสินค้าตัวไหนตอบโจทย์” เภสัชกร ดร.แสงสุขกล่าวย้ำถึงประเด็นการสำคัญของการสร้างธุรกิจให้สำเร็จ ซึ่งประเด็นเหล่านี้คือสิ่งที่เขาสอนให้กับนักเรียนของเขาด้วย

    ปัจจุบันการสอนและการเห็นความสำเร็จของนักเรียนของเขา ดูเหมือนจะเป็น ‘ความสุข’ และ ‘แพสชั่น’ ในชีวิตปัจจุบันของเภสัชกร ดร.แสงสุข ไปแล้ว ดังที่ช่วงหนึ่งเขายกตัวอย่างนักเรียนที่มาเรียนที่สถาบันของเขาและสามารถเพิ่มยอดขายจาก 80 ล้านบาท เป็น 200 ล้านบาทในปีถัดมา

    “นี่คือสิ่งที่ผมมีความสุข ผมไม่ได้มีความสุขเพราะได้ค่าเรียน ไม่ใช่ ผมไม่ได้มีความสุขจากการประสบความสำเร็จเล็กๆ แต่ผมมีความสุขเพราะเห็นคนทำสำเร็จ”



    เภสัชกร ดร.แสงสุข ก่อตั้งโรงเรียนบ่มเพาะธุรกิจ BIS (The Business Incubation School) ตั้งแต่ 11 ปีก่อน สร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่เข้าสู่ระบบแล้วกว่า 2,000 คนในระยะเวลา 7 ปี มีแบรนด์ที่ประสบความเร็จแล้วมากมาย เช่น แบรนด์เสื้อยืดอย่างยืดเปล่า, พลอยรดาคลินิก, Derma Health เป็นต้น

    โดยจุดเด่นของที่นี่คือการคว้าตัวนักธุรกิจชั้นนำของประเทศไทยมาถ่ายทอดความรู้ เช่น William Heinecke แห่งอาณาจักรไมเนอร์, อนุพงษ์ อัศวโภคิน แห่ง AP, เจ้าสัวบุญเกียรติ โชควัฒนา แห่งเครือสหพัฒน์, ทักษะ บุษยโภคะ แห่งโมเดอร์นฟอร์ม, วรวุฒิ อุ่นใจ แห่งออฟฟิศเมท, สมพร ธีระโรจนพงษ์ แห่ง PSI, อมตะ หลูไพบูลย์ รวมไปถึง เอ-ศุภชัย เป็นต้น เรียกได้ว่าได้เรียนรู้กับคนที่ทำธุรกิจจริงๆ และคนเรียนก็ต้องมีคุณสมบัติว่าต้องกำลังทำธุรกิจอยู่ด้วยเช่นกัน

    ความสำเร็จจาก BIS ต่อยอดมาสู่การเปิดตัว “หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาการจัดการเพื่อผู้ประกอบการยุคดิจิทัล” ของสถาบันวิทยาการประกอบการแห่งอโยธยา หรือ IESA (Institute of Entrepreneurial Science Ayothaya) ในปี 2565 ซึ่งสถาบันดังกล่าวมีเภสัชกร ดร.แสงสุข นั่งเป็นอธิการบดี

    “ผมสอนมา 11 ปีแล้วที่ BIS แต่ว่าถ้าเป็นปริญญาตรีและปริญญาโทของ IESA กลุ่มปริญญาโท MBA กำลังจะจบแล้ว เทอมนี้จบเป็นรุ่นแรก ทุกคนแฮปปี้มาก เพราะผมบอกว่าคุณเรียน MBA 2 ปี สิ่งที่ผมการันตีคือยอดขายคุณจะเพิ่มเป็น 2 เท่าใน 2 ปี วันที่คุณสมัครยอดขายคุณ 20 ล้านบาท วันที่คุณจบยอดขายคุณ 40 ล้านบาท อันนี้หมูมาก แต่ส่วนใหญ่จะเกิน”

    จุดเด่นของหลักสูตรที่ IESA คือการเป็นสถาบันการศึกษายุคใหม่ ที่ต้องการสอนให้ผู้เรียน “สร้างธุรกิจ สร้างรายได้ ควบคู่ไปกับการเรียนปริญญาตรี” คือระหว่างเรียนสามารถนำวิชาไปทดลอง-ทดสอบได้ทันที ถ้าใช้ไม่ได้ ก็สามารถกลับมาถามอาจารย์ได้


ความสุขในปัจจุบัน และสูตรสำเร็จของการทำธุรกิจ

    ในช่วงท้ายของการพูดคุยกันในวันนั้น Forbes Thailand ถามมุมมองจากเภสัชกร ดร.แสงสุข ว่าทักษะสำคัญที่สุดที่คนทำธุรกิจควรมีคืออะไร หากอยากประสบความสำเร็จ ซึ่งเขาตอบว่า ‘จิต’

    “สูตรสำเร็จของการทำธุรกิจนั้น 1% คือดวง, 1% คือความสามารถ และอีก 98% คือ Never Give Up จิตที่ไม่เลิก ไม่ย่อท้อ จิตที่ต้องพยายาม แต่ส่วนใหญ่จะเลิกหรือท้อกันไปก่อน สกิลอันนี้สำคัญ อันนี้คือมายด์เซ็ต ต่อให้คุณเก่งขนาดไหน แล้วคุณเลิกกันทำ มันก็จบ ต่อให้เก่งขนาดไหน ถ้าไม่มีพลังก็จบ ถ้าถามคนสำเร็จระดับโลกทั้งหมด อันนี้คือสิ่งที่สำคัญ”

    เขายังอธิบายเพิ่มเติมว่า ความอดทนของนักธุรกิจก็คือ Never Give Up แล้วยอมเจ๊งเพื่อที่จะ Fail Fast แล้วก็ Success Fast “มีไหมธุรกิจระดับโลกที่ไม่เคยเจ๊งเลย ไม่มีทั้งนั้น จะรวยก็ต้องเจ๊งมาก่อน ต้องเจอปัญหามาก่อน ต้องไม่ Success มาก่อนถึงจะ Success เหมือนอ่านเรื่องของ Jack Ma หรือ Steve Jobs หรือใครอีกเยอะแยะเลย ใช่ไหมล่ะ?”

    นอกจากนี้ อีกหนึ่งมายด์เซ็ตที่นักธุรกิจควรมีคือการ ‘ทำทันที’ ซึ่งหมายถึงการอยากเริ่มทำธุรกิจอะไร ก็ให้เริ่มทดลองทำได้เลย โดยอาจจะเริ่มทดลองจากเล็กๆ ก่อน

    “คนรู้จัก ดร.แสงสุขก็คือ ท.ท.ท. หรือทำทันที ทำทุกที่ ทำทุกท่า แค่นั้นเอง ถ้ามาเรียนก็จริงๆ จะรู้ว่า Entrepreneurship ไม่ใช่เซนส์ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ศิลปะ แต่มันคือ Practice อนาคตเท่ากับ Practice ก็คือลงมือทำ แต่ถ้าเกิดพูดแล้วไม่ทำ ก็เจ็บหมด”

    เพราะจิตเป็นสิ่งสำคัญที่สุด นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้การเรียนการสอนที่ BIS มีคลาสสะกดจิตด้วย โดยจะมีอาจารย์มาสะกดจิตหรือเรียกอีกอย่างปรับวิธีคิดและจิตใจของผู้มาเรียนใหม่ กำจัดความกังวลต่างๆ ที่จะเป็นอุปสรรคในการเริ่มต้นหรือทำธุรกิจออกไป เช่น ความคิดที่ว่าไม่มีเงิน ไม่มีเวลา ยังไม่ใช่ ยังทำไม่ได้ ยังไม่พร้อม หลังจบคลาสความคิดเหล่านี้จะหายออกไปหมด

    “นี่คือสถาบันที่จะช่วยให้คนทำธุรกิจประสบความสำเร็จเร็วๆ เพราะเดี๋ยวนี้มันต้องเร็วนะ ผมไม่ได้สอนให้คุณมีความรู้นะ ผมสอนให้คุณรวย ซึ่งไม่ใช่รวยชั่วข้ามคืนแล้วก็หายไป แต่ประสบความสำเร็จและยั่งยืน”

    การมุ่งบ่มเพาะและพัฒนาผู้ประกอบการผ่านทั้งสองสถาบัน เป็นแพชชั่นในปัจจุบันของเขา นั่นคือการอยากเห็นนักธุรกิจรายอื่นๆ ในไทยประสบความสำเร็จ


    “ความสุขที่เกิดจากที่เราได้ช่วยเขามันมากกว่า ถามว่าผมไปทำธุรกิจของตัวเองอีกแบรนด์ได้ไหม ได้ ผมทำได้ ทำแล้วผมก็ได้เงิน ทำแล้วผมก็ได้อีกแบรนด์นึง แต่แล้วยังไง ผมไม่เห็น Value ของอีกแบรนด์หนึ่งในชีวิตผม แต่ผมอยากเห็นความสำเร็จของการที่ช่วยประเทศ”

    เภสัชกร ดร.แสงสุข อธิบายให้เห็นภาพเพิ่มเติมว่าปัจจุบันบริษัท SMEs ไทยคือจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ เพราะไทยมี SMEs มากกว่า 3 ล้านราย ถ้าแต่ละรายมีพนักงาน 10 คน เท่ากับว่ามีคนอยู่ในระบบนี้ถึง 30 ล้านคน

    ซึ่งถ้าหากสถาบันของเขาบ่มเพาะให้ SMEs สำเร็จได้เพียง 0.1% ของจำนวนทั้งหมด เท่ากับว่าจะมี SMEs ราว 3,000 บริษัทที่สำเร็จ หากแต่ละรายมีรายได้ 1,000 ล้านบาท เท่ากับว่าเกิดรายได้ 3 ล้านล้านบาท สร้างแรงกระเพื่อมให้เศรษฐกิจไทยได้มหาศาล

    นี่คือฝันที่เขาวาดไว้ตั้งแต่ 11 ปีที่แล้ว แม้ในช่วงแรกจะโดนเพื่อนๆ สบประมาทว่าคงทำไม่ได้หรอก ถ้าทำได้ อาจารย์มหาวิทยาลัยต่างๆ คงทำไปนานแล้ว และประโยคที่เจ็บที่สุดคงเป็นประโยคที่บอกว่า “ให้บ่มเพาะลูกตัวเองก่อนเถอะ”

    “ชีวิตผมจะประสบความสำเร็จ ก็คือต้องมีคนมาดูถูก ทุกครั้งที่มีคนมาดูถูก ไฟลุกท่วมเลย เดี๋ยวจะทำให้ดู” เขาพูดพร้อมหัวเราะก่อนจะปิดท้ายว่า “แต่ทุกวันนี้ผมบอกเด็กว่ายังไงรู้ไหม สนุกๆ นะ ปัจจุบันผมทำอะไรไม่ค่อยสำเร็จเลย เพราะไม่มีใครกล้าดูถูกแล้วไง”



ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์ และบริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : กวิน นิทัศนจารุกุล จาก Otteri สู่ ‘ชูมณี’ ให้การ ‘ซักผ้า’ ได้ขับเคลื่อนสังคม

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine