ในปัจจุบัน Dering บริหารงานบริษัทตามที่เขาเห็นเหมาะ โดยเขาสนับสนุนให้พนักงานเข้ามาทำงานและกลับบ้านได้ตามใจชอบ และให้ใช้ชีวิตแบบแอคทีฟเช่นเดียวกับแบรนด์ของบริษัท ถึงแม้ตัว Dering เองจะใช้เวลาทำงานครึ่งหนึ่งในการบริหารกิจการจากนอกสถานที่ แต่ยอดขายในปี 2015 ก็คาดว่าจะโตถึง 3 เท่าเป็น 13 ล้านเหรียญ โดยเขาบอกว่า Peak Design เริ่มทำกำไรมาตั้งแต่ปีแรกที่เปิดดำเนินการ และกำไรก็โตทันกับการเติบโตของยอดขายเรื่อยมาตั้งแต่ปีแรก
ในที่สุด Peak Design ก็สั่งกระเป๋ามาถึง 45,000 ใบ โดยใช้วงเงินสินเชื่อก้อนดังกล่าวและเงินกู้อายุหนึ่งปีอีก 400,000 เหรียญจาก Funding Circle ซึ่งเป็นแหล่งเงินกู้ออนไลน์สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ย 5.5% ต่อปี โดยเงินกู้นี้ถูกนำมาชำระค่าสินค้างวดแรกให้กับซัพพลายเออร์ของ Peak Design และเงินที่ระดมมาได้จาก Kickstarter จะนำไปชำระค่าสินค้าส่วนที่เหลือเมื่อมีการส่งมอบ Anhalt บอกว่าถ้าไม่มีเงินก้อนนี้เข้ามา “ก็ไม่มีทางเลยที่บริษัทจะมีเงินมาจ่ายค่าสินค้าได้ นอกจากจะยอมขายหุ้นบางส่วนให้กับ VC สักราย หรือยอมตัดขายหุ้นบางส่วนของบริษัทออกไป”
หลังจากจบปัญหาเรื่องเงินทุนสำหรับผลิตกระเป๋าแล้ว จากนี้ไป Dering และทีมงานของเขาก็พร้อมที่จะไขว่คว้าโอกาสทางธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม โดยพวกเขาเริ่มคิดกันแล้วว่าอาจจะขยายกิจการกระเป๋า และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ซึ่ง Dering ยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยต่อสาธารณชน
คลิ๊กอ่าน "โมเดลใหม่ของการทำธุรกิจ" ฉบับเต็ม Forbes Thailand ฉบับ MARCH 2016 ในรูปแบบ E-Magazine


