กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีนายใหญ่คนใหม่ Kenichi Yamato กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เข้ามารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2566
หนุ่มใหญ่ชาวญี่ปุ่นผู้นี้เป็นมือบริหารลูกหม้อ MUFG หรือ Mitsubishi UFJ Financial Group (MUFG Bank, LTD.) เขาทำงานกับองค์กรนี้มาเกือบ 33 ปี
ก่อนจะมาเป็นผู้บริหารสูงสุดธนาคารกรุงศรีอยุธยาในปัจจุบัน Yamato ดำรงตำแหน่ง Chief Executive of Global Commercial Banking ดูแลรับผิดชอบในส่วนงานกลุ่มลูกค้าธุรกิจของเครือ MUFG ในประเทศอาเซียน
ในขณะนั้นเขายังได้ดำรงตำแหน่งทั้ง President Commissioner of Bank Danamon ที่ประเทศอินโดนีเซีย และ non-executive director of Security Bank ในประเทศฟิลิปปินส์ด้วย
ซีอีโอมืออาชีพ
Yamato มีประสบการณ์โดดเด่นในฐานะซีอีโอระดับภูมิภาค เป็นสายงานที่ตรงกับความรู้และการศึกษาพื้นฐานปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ตลอด 33 ปีในแวดวงธุรกิจการเงินเขาเรียนรู้และเติบโตจากงานที่รับผิดชอบเรื่อยมา เป้าหมายของเขาคือสร้างความสำเร็จและยกระดับองค์กรที่รับผิดชอบให้เติบโตและแข็งแรง เช่นเดียวกับวิชั่นที่มีต่อธนาคารกรุงศรีอยุธยา
เมื่อถูกถามว่าวางเป้าหมายไว้อย่างไร เขาตอบว่า “ผมจะพยายามทำให้กรุงศรี ก้าวสู่ความสำเร็จอีกขั้น ด้วยการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าไม่เฉพาะในประเทศไทยแต่ทั่วทั้งภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีนี้ครบรอบ 10 ปีความร่วมมือ MUFG กับกรุงศรี”
ด้วยความพร้อมและการพัฒนาที่มีมาอย่างต่อเนื่อง การเข้ามาของ MUFG ในรอบ 10 ปีมีส่วนทำให้ธนาคารกรุงศรีเติบโตอย่างน่าสนใจ ด้วยมูลค่าธุรกิจที่เติบโตสูงมากอย่างต่อเนื่อง
Yamato เผยว่า MUFG เข้ามาร่วมถือหุ้นในธนาคารกรุงศรีตั้งแต่ปี 2556 และในปี 2560 ได้มีการปรับระบบการให้บริการต่างๆ เข้าสู่ยุคของธนาคารสมัยใหม่ ให้เป็นธนาคารที่อัพเดททั้งด้านบริการและเทคโนโลยีขึ้นเป็นท็อปเทียร์ของสถาบันการเงินในประเทศไทย
นอกจากมีระบบบริการที่ดีแล้ว ยังพัฒนาธุรกิจไปในแนวทางของความยั่งยืน เป็นธนาคารที่พัฒนาเรื่องความยั่งยืนในการให้บริการทางการเงินได้อย่างชัดเจน
ยกระดับบริการ
“แน่นอน digitalization เป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนโลก แต่อีกประเด็นใหญ่คือ climate change สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงเร็ว” นายใหญ่ธนาคารกรุงศรี เผยว่าหากมองย้อนไป 10 ปีที่ผ่านมามีปัจจัยหลายอย่างเข้ามากระทบ เช่น ล่าสุดกรณีสงครามยูเครน-รัสเซีย สร้างผลกระทบไม่น้อย
Yamato ยังบอกด้วยว่าธนาคารจะต้องนำเสนอทางเลือก หรือโซลูชั่นใหม่ให้กับผู้ใช้บริการทางการเงิน หรือลูกค้าคนสำคัญ เพื่อทำให้ลูกค้าพึงพอใจ เชื่อมั่น และมีความสุข
และอย่างที่ทราบกันลูกค้าของธนาคารกรุงศรี ไม่ได้จำกัดในเรื่องของการลงทุนในประเทศเท่านั้น แต่รวมถึงขยายกองทุนออกไปในภูมิภาคด้วย ขยายไปยังตลาดเอเชีย และตลาดอื่นซึ่งมีพาร์ทเนอร์เครือข่ายอยู่ โดยธนาคารฯ พร้อมให้บริการและสนับสนุนลูกค้าในการขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการปรับองค์กร เช่น หากลูกค้าอยากจะลดคาร์บอนหรือทำธุรกิจไปสู่ซีโร่คาร์บอนแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร กรุงศรีก็พร้อมนำการปรับตัวเหล่านี้ โดยจะแนะนำให้ลูกค้าเหล่านั้นได้พบปะแลกเปลี่ยนกับบริษัทญี่ปุ่นซึ่งมีประสบการณ์ในด้านนี้ เพราะหลายบริษัทในญี่ปุ่นได้ปรับตัวเรื่องความยั่งยืนมาก่อนหน้านี้ สามารถเป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำในการปรับตัวได้เป็นอย่างดี
ไทยพร้อมแข่งขัน
อย่างไรก็ตาม Yamato เผยว่าแม้จะมองแนวโน้มดี แต่ก็ยังมีปัจจัยความเสี่ยงที่ต้องระวังเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างประเทศ เช่น เรื่องสงครามจะเกิดต่อเนื่องหรือไม่ ซึ่งหากเกิดสงครามก็จะเกิดอัตราเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยก็จะสูงขึ้น
“สงครามเป็นปัจจัยลบที่สำคัญ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าดูเรื่องของอัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยเริ่มชะลอตัวลง ผมมองว่าอัตราเงินเฟ้อ ภาวะเศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยยังอยู่ในภาวะที่แข่งขันได้”
เขาย้ำและว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยมีความมั่นคง อยู่ในฐานะที่แข่งขันได้และหากเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาคด้วยแล้วประเทศไทยถือว่าแข็งแรง
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ศรันย์ โรจน์เลิศจรรยา NL เติมแต้มต่อโปรก่อสร้าง