ดร.ปณิตา ชินวัตร หญิงแกร่ง สสว. ยกระดับ SME ไทย - Forbes Thailand

ดร.ปณิตา ชินวัตร หญิงแกร่ง สสว. ยกระดับ SME ไทย

ทุกวันนี้ผู้หญิงมีบทบาทในหลากหลายองค์กร ความเป็นผู้หญิงไม่ใช่อุปสรรคของการเป็นผู้นำ สสว. องค์กรรัฐที่ผลักดันและส่งเสริม SME ก็เช่นกัน ผู้นำสูงสุดปัจจุบันเป็นนักบริหารหญิงประสบการณ์กว่า 20 ปี


    เอสเอ็มอี วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME: Small and Medium Enterprises) คือ กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและรายกลางที่เป็นรากฐานสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ หลายคนรู้จัก SME ว่าเป็นกิจการขนาดเล็กที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมรากฐานสังคมให้แข็งแรง แต่ด้วยความเป็นรายย่อยความพร้อมจึงมีไม่มาก ที่ผ่านมารัฐบาลให้การช่วยเหลือ โดยมีหน่วยงานหลักคือ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) คอยผลักดันและส่งเสริมการพัฒนา SME มาอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ปี หลังก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2544 ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. 2543

    “ทำงานกับ สสว. มากว่า 20 ปี ตั้งแต่หน่วยงานก่อตั้งได้เพียง 2 ปี และทำต่อเนื่องถึงปัจจุบัน คลุกคลีกับเรื่อง SME มาโดยตลอด รับรู้ทุกปัญหา อุปสรรค และร่วมมือทุกมาตรการความช่วยเหลือ” ดร.ปณิตา ชินวัตร รักษาการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดประเด็นพูดคุยกับ Forbes Thailand ในฐานะผู้บริหารหญิงคนล่าสุด กับมาตรการส่งเสริม SME ด้วยกองทุนส่งเสริม SME 5 พันล้านบาทในปี 2568

    เม็ดเงิน 5 พันล้านบาทจากกองทุนส่งเสริม SME ลอตนี้ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับ SME จำนวน 2.7 พันล้านบาท ที่เหลือเป็นวงเงินสำหรับส่งเสริมธุรกิจอี-คอมเมิร์ซซึ่งเป็นแหล่งรวมผู้ประกอบการรายย่อยยุคใหม่ อีกทั้งยังรวมถึงการสร้างอินฟลูเอนเซอร์ซึ่งถือเป็นธุรกิจ SME ด้วยตามเทรนด์เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป


แบ็กกราวด์ด้านไฟแนนซ์

    ดร.ปณิตาบอกเล่าภูมิหลังของเธอว่า จบมาด้านการเงินจากต่างประเทศ เข้ามาทำงานในองค์กรเอกชนก่อนจะผันตัวเองมาสู่องค์กรรัฐ “จบปริญญาโทจากอเมริกา เข้ามาทำงานที่บริษัทไฟแนนซ์ที่เมอร์ริล ลินซ์ ภัทร ซึ่งเริ่มทำตั้งแต่สมัยที่ บล.ภัทร ยังไม่ได้ร่วมลงทุนกับเมอร์ริล ลินซ์ โดยดูแลในส่วนของ investment banking” นั่นคือประสบการณ์การทำงานยุคแรกของ ดร.ปณิตา

    เธอเล่าว่าอยู่กับภัทรพักใหญ่ และได้ทำงานอีกหลายที่เกี่ยวกับ investment banking, private funding จากนั้นก็กลับไปทำงานให้ครอบครัวที่ บริษัท เอ็มลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด ทำเกี่ยวกับเรื่องโทรศัพท์มือถือเป็นดิสทริบิวเตอร์ให้กับ Motorola และ Nokia

    หลังจากนั้นเธอได้เข้ามาทำงานด้านการเมือง “เป็นทีมที่ปรึกษาของท่านสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ซึ่งขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ” เธอเล่าว่า ช่วยงานรัฐมนตรีได้ประมาณ 1 ปี ได้รับโอกาสถูกชักชวนให้มาร่วมงานกับ สสว. ที่เพิ่งก่อตั้งมาได้ปีกว่า เป็นหน่วยงานใหม่เกี่ยวกับนโยบายและแผนส่งเสริม SME เธอจึงตัดสินใจเข้าร่วมทำงาน โดยเริ่มต้นจากหัวหน้าส่วนส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ SME

    หลังจากนั้น ดร.ปณิตาก็ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการฝ่าย และเป็นรองผู้อำนวยการ กระทั่งล่าสุดเป็นรักษาการแทนผู้อำนวยการถือเป็นผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์กรตั้งแต่ 16 พฤษภาคม ปี 2567 จนกระทั่งปัจจุบัน (ข้อมูล ณ 2 สิงหาคม ปี 2568) คาดว่าในเดือนกันยายนนี้จะมีการสรรหาผู้อำนวยการ สสว. อย่างเป็นทางการ


    “ตอนนี้เป็นรักษาการแทนผู้อำนวยการ ไม่มีใครมีความรู้และประสบการณ์ช่วยเหลือส่งเสริม SME มากเท่าเรา เพราะทำมา 20 ปีแล้ว ไต่เต้ามาตั้งแต่ระดับหัวหน้าจนถึงผู้อำนวยการ” ดร.ปณิตาเผยเส้นทางเดินในฐานะผู้นำองค์กรซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ มีหน้าที่หลักในการดูแลเรื่องของแผนส่งเสริม SME ซึ่งมีทั้งแผนระดับชาติ 20 ปี แผนราย 5 ปี และแผนปฏิบัติการปีต่อปี

    ดร.ปณิตากล่าวว่า งานส่วนใหญ่ของสำนักงานเป็นเรื่องเกี่ยวกับการส่งเสริม SME ซึ่งเป็นแผนระดับชาติและเป็นนโยบายของภาครัฐ มีกิจกรรมที่ช่วยเหลือ SME ต่างๆ ตามสภาวะเหตุการณ์ในแต่ละช่วงปี เช่น ในปี 2568-2569 เป็นปีที่จะช่วยส่งเสริม SME เรื่องการเปลี่ยนผ่านธุรกิจ SME ไปสู่ธุรกิจสีเขียว Green Transition เน้นเรื่องการทำธุรกิจต้องคำนึงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อ SME เปลี่ยนตัวเองไปตามเทรนด์ของตลาดโลก ปีหน้าตลาด EU จะมีกฎระเบียบต่างๆ ออกมาในการนำเข้าสินค้า เช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เป็นมาตรการของสหภาพยุโรป (EU) การปรับตัวสู่ธุรกิจสีเขียวจะช่วยให้ SME ไทยสามารถส่งสินค้าเข้าตลาด EU ได้ตามกติกาสากล ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตจะเป็นมาตรการที่ใช้กันทั่วโลก การเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียวของ SME จึงเป็นอีกหนึ่งการปรับตัวสู่ความยั่งยืนของธุรกิจ


ยกระดับผ่านกองทุน SME

    ทั้งหมดนี้เป็นการยกระดับธุรกิจ SME ของไทยให้แข็งแรงขึ้น สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น “SME ไทยส่วนใหญ่ไม่มีใบรับประกันระดับโลกที่ใช้ในการส่งออกหรือการเทรดสินค้า โดยเฉพาะด้าน green เราจึงเข้ามาช่วยเหลือตรงนี้” ผู้นำ สสว. ย้ำและว่าเรื่องของ Green Business เป็นเทรนด์ที่ไปกับตลาดโลก นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการต่อยอดธุรกิจที่ดีอยู่แล้วให้เข้มแข็งเติบโตยิ่งขึ้น อาจเป็นการปล่อยเงินกู้เพื่อซื้อเครื่องมือเครื่องจักร หรือเพิ่มเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำธุรกิจ

    “น่าเสียดายที่นโยบายไม่ค่อยต่อเนื่อง เพราะเปลี่ยนรัฐบาลบ่อย ไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาส่วนใหญ่จะเน้นเรื่อง SME เพราะมีสัดส่วน 99.5% ของธุรกิจมวลรวมทั้งประเทศ (มีธุรกิจรายใหญ่ไม่ถึง 1%)” ดร. ปณิตากล่าวว่าปัจจุบันฐานลูกค้า SME ไทยมีประมาณ 3.2 ล้านราย เป็นเป้าหมายการทำงานที่อยู่ในระบบของทุกรัฐบาล บทบาทของ สสว. บางส่วนขึ้นกับนโยบายรัฐบาล

    “บางรัฐบาลกำหนดให้ สสว. ทำเฉพาะเรื่องเชิงนโยบายเท่านั้น บางรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนเงินทุนแก่ SME เช่น มีเงินเยียวยา SME มีเงินช่วยลดต้นทุน ลดดอกเบี้ย ชดเชยดอกเบี้ย ค้ำประกันหนี้ มีหลายรูปแบบ” ดร. ปณิตากล่าวว่า มาตรการช่วยเหลือ SME มีมาโดยตลอด แต่สิ่งหนึ่งที่คิดว่า SME ยังขาดอยู่มากคือ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญอันดับ 1 ของ SME รองลงมาคือ ช่องทางการหาตลาด “เรามักได้ยินเสมอว่า SME ล้มหายตายจากไปเยอะ เพราะผลิตสินค้าออกมาแล้วไม่รู้จะขายให้ใคร”



    ผู้นำ สสว. กล่าวว่า ปัญหาสำคัญของ SME ที่สำนักงานให้การสนับสนุนอย่างจริงจังคือปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เนื่องจากธุรกิจ SME ส่วนใหญ่เป็นรายย่อยมักหาแหล่งเงินทุนหรือขอสินเชื่อธนาคารค่อนข้างลำบาก ภาครัฐจึงจัดให้มีกองทุนส่งเสริมเพื่อให้ SME สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยใช้ธนาคารของรัฐคือ SME D Bank หรือธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เข้ามาช่วยส่งเสริมให้ SME มีแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม ปล่อยสินเชื่อด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ

    “ปัญหาของ SME ทั่วไปเวลาไปกู้เงินมักไม่ได้รับการอนุมัติ เพราะไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เราจึงทำให้กองทุนนี้เป็นแหล่งเงินกู้สำหรับส่งเสริม SME โดยเฉพาะ กฎกติกาจะลดหย่อน” หย่อนในที่นี้หมายถึงเรื่องหลักทรัพย์ค้ำประกันอาจเปลี่ยนเป็นคนค้ำได้ หรือหากไม่มีก็ได้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของธนาคาร เป็นต้น ส่วนอัตราดอกเบี้ยจะคิดที่ 1% เป็นเงินทุนสำหรับรายย่อย micro SME ที่มีค่อนข้างเยอะ วงเงินกู้พิเศษเพื่อ SME จัดไว้ประมาณ 2.7 พันล้านบาท ให้กู้จนกว่าจะหมด ซึ่งส่วนมากเมื่อประกาศออกไปมักจะหมดอย่างรวดเร็ว เงินกองทุนก้อนล่าสุดจะออกมาในช่วงเดือนหรือ 2 เดือนข้างหน้านี้

    ดร.ปณิตากล่าวว่า วงเงินกู้ 700 ล้านบาท (จากเงินทั้งหมด 2.7 พันล้านบาท) จะแบ่งเป็นเงินกู้สำหรับธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องด้วย เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจำนวนนักท่องเที่ยวชะลอ SME ในธุรกิจนี้จึงต้องการความช่วยเหลือ มีทั้งร้านนวดสปา บริการท่องเที่ยวต่างๆ และโรงแรมขนาดเล็ก โดยจะปล่อยกู้วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับ SME ให้อยู่ต่อไปจนถึงช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว


ส่งเสริมอาชีพ-ลดต้นทุน

    ที่ผ่านมา SME ในภาคท่องเที่ยวประสบปัญหาในช่วงสถานการณ์โควิด ซึ่งช่วงนั้นทุกคนต้องอยู่บ้านห้ามเดินทางทำให้ค้าขายไม่ได้ ทุกคนต่าง work from home สสว. พิจารณาว่าจะช่วยเหลือ SME ได้อย่างไร ก็พบช่องทางที่น่าสนใจ ไม่ว่าการค้าขายธุรกิจจะขึ้นหรือลงอย่างไร ภาครัฐคือหน่วยราชการต่างๆ ก็ต้องมีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยเงินงบประมาณ 1 ล้านล้านบาทต่อปี โดยปกติการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐจะใช้กับคู่ค้ารายใหญ่หรือไม่ก็เป็นกลุ่มเพื่อนพ้องในท้องถิ่น อบต. อบจ. ที่รู้จักกัน

    “เราเกิดความคิดนโยบายออกมาเพื่อช่วย SME โดยการให้แต้มต่อ SME ในการจัดซื้อจัดจ้างด้วยการทำโครงการ THAI SME-GP โดยให้ SME มาลงทะเบียนกับเรา ระบบเราจะลิ้งก์ไปที่กรมบัญชีกลาง” เพื่อที่เวลาจัดซื้อของภาครัฐจะผ่านกรมบัญชีกลางอยู่แล้ว โดยให้ SME ที่ขายสินค้าให้รัฐได้แต้มต่อ 10-15% และกรณีที่ Made in Thailand 100% จะได้แต้มต่อ 15%


    ดร.ปณิตากล่าวว่า โครงการ THAI SME-GP ช่วย SME ให้มีโอกาสจัดซื้อกับภาครัฐได้มากขึ้น ผลตอบรับโครงการดีมาก ปัจจุบันทำต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 ขึ้นปีที่ 4 แล้วตั้งแต่หลังโควิดมา ตอนนี้ปรากฏว่ามี SME ที่ได้แต้มต่อไปจัดซื้อจัดจ้างกว่า 40% มูลค่า 5 แสนล้านบาทในปี 2567 ยอดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับเป็นโอกาสอันหนึ่งที่ให้กับ SME

    โครงการนี้ช่วย SME ได้มาก SME ที่เข้าลงทะเบียนกับ สสว. มีกว่า 1 ล้านราย แต่ล่าสุดกรมบัญชีกลางมีข้อติติงว่า ภาครัฐเสียเปรียบต้องเสียงบประมาณมากกว่าที่ควรเป็น เพราะราคาแพงกว่าจึงเริ่มต่อรองขอลดขนาด SME ที่ได้สิทธิ์นี้เฉพาะรายย่อยเท่านั้น

    “ปีนี้ยังมีอีกเรื่องที่ต่อเนื่องผลตอบรับดีคือ เรื่อง BDS หรือ Business Development Service การช่วยลดต้นทุน SME ในกิจกรรมต่างๆ ซึ่งภาครัฐช่วยจ่ายให้ 50-80%” ดร.ปณิตากล่าวว่า โครงการนี้ยังช่วย SME ในการลดต้นทุน เช่น การจดลิขสิทธิ์หรือการไปออกงานทั้งในไทยและต่างประเทศ สมมติ ค่าบูธ 40,000 รัฐออกให้ 80% SME ออกเอง 20% เหลือประมาณ 8,000 บาท เป็นต้น โดยส่วนนี้ให้สิทธิ์กับ SME รายเล็กรายย่อยที่อยู่ในเครือข่ายของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และองค์กรเอกชนอื่นๆ ซึ่งตอนนี้มีประมาณ 600 บริการที่เลือกได้ เช่น ไปออกบูธที่ต่างประเทศ ไปออกร้านที่งานนิทรรศการต่างๆ ผู้ประกอบการมาใช้สิทธิ์นี้ได้มีหลากหลายบริการให้เลือก

    “โครงการ BDS ช่วย SME ได้หลายหมื่นราย ช่วยลดต้นทุนให้ SME”

    จากภาพรวม 3.2 ล้านรายเป็น micro SME ราว 2.8 ล้านราย ขนาดเล็ก (small) ประมาณหลักแสนราย เป็นขนาดกลาง (medium) หลักหมื่นราย ผู้นำ สสว. กล่าวว่า ในกลุ่ม SME สัดส่วนรายได้จะผกผันกับจำนวน เช่น medium SME มีจำนวนน้อย แต่มีรายได้หลายหมื่นล้านบาท แต่ micro SME มีจำนวนมากแต่รายได้น้อย ทาง สสว. ต้องเร่งกระบวนการอัปสกิล (upskill) รีสกิล (reskill) เพื่อให้ SME เติบโต พัฒนาจาก micro เป็น small และ medium SME เพิ่มการสร้างงานสร้างรายได้ให้มากขึ้น



เสริมความรู้การตลาด-บริหาร

    อย่างไรก็ตาม ดร.ปณิตากล่าวว่า จุดอ่อนของ SME ส่วนใหญ่คือ ขาดความรู้ด้านการตลาด ขาดความรู้เรื่องการบริหารจัดการภายใน พวกบัญชีต่างๆ และบางทีผลิตสินค้ามาได้แต่ไม่มีตลาด บางครั้งสินค้าก็ผลิตตามแบบกันทำให้ล้นตลาดต้องหั่นราคากันเองทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น สสว. จึงเน้นการให้ความรู้ผ่านแพลตฟอร์ม Academy 365 ซึ่งเข้าไปหาข้อมูลได้ 24 ชั่วโมง มีทั้งเรื่องบัญชี การตลาดหลากหลายรูปแบบอยู่ในเว็บไซต์ หรือสมัครที่ SME Connext แอปพลิเคชัน นอกจากนี้ ยังมี SME Coach ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำเกี่ยวกับ SME

    SME Coach จะอยู่กับ SME ช่วยบริหารจัดการช่วยเหลือทุกด้าน ดูว่าขาดตรงไหน เช่น ขาดสภาพคล่องเรื่องเงิน หรือขาดการตลาด “ส่วนใหญ่ pain point ของ SME คือการพัฒนา บางทีผลิตภัณฑ์ดีแต่ packaging ไม่สวยงามก็ขายไม่ออก เราต้องเข้าไปช่วยพัฒนา เป็นรายละเอียดปลีกย่อย” ดร.ปณิตากล่าว

    อย่างไรก็ดีปัญหาหลักของ SME ยังคงเป็นเรื่องการเข้าถึงแหล่งทุนและช่องทางการจัดจำหน่าย ทั้งสองเรื่องนี้เป็นปัญหาที่อยู่กับ SME มาตลอด ตั้งแต่เปิดหน่วยงานมา สสว. พยายามพัฒนาแก้ไขกันมาตลอด ปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่เข้ามาเป็น SME มากขึ้น รูปแบบปัญหาก็เปลี่ยนไป สสว. ต้องพิจารณาให้ทันกับความต้องการที่เปลี่ยนไปด้วย เด็กรุ่นใหม่ต้องการเป็นเจ้าของกิจการมากขึ้น ไม่อยากเป็นลูกจ้างหรือพนักงานบริษัท

    “เด็กสมัยนี้อยากค้าขายเพื่อตัวเอง มีกิจการของตัวเองถึง 90% ไม่มีใครอยากไปทำงานบริษัทเหมือนแต่ก่อน” ดร.ปณิตากล่าวว่า เด็กรุ่นใหม่หันมาทำอาชีพอิสระ เป็นอินฟลูเอนเซอร์หาเงินง่าย ถือเป็น micro SME เป็นธุรกิจคนเดียวขายของได้ เวลาก็ไม่ตายตัว รายได้หลักแสนบาทต่อเดือน คนทำอาชีพขายของออนไลน์กันมากขึ้น

    “อยู่มาตั้งแต่สำนักงานเปิดได้ 2 ปีถึงปัจจุบันพอได้ขึ้นมาเป็นผู้บริหารหลักมองภาพรวมมากขึ้น ดิฉันจะถนัดด้าน marketing ที่ทำอยู่ก่อนหน้านี้และพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง” ดร.ปณิตากล่าวว่า กว่า 20 ปีที่ผ่านมามีโจทย์ใหม่ๆ เสมอ ตั้งแต่ช่วงแรกคนไม่รู้จัก SME พัฒนาต่อเนื่องจนคนรู้จัก ใครๆ ก็มาเป็น SME สสว. ได้เก็บข้อมูลเหล่านี้ทำให้ศูนย์ข้อมูล SME เป็น Big Data ใหญ่ที่สุดในประเทศ

    SME Big Data ถือเป็นสิ่งที่มีค่าของชาติ การที่จะพัฒนาหรือทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้อยู่ที่คนตัวเล็กเหล่านี้ เพราะฉะนั้นการพัฒนา SME จึงถือเป็นการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ “ทำมา 20 ปี แต่ยังรู้สึกสนุกและมีอะไรให้ทำ มีความท้าทาย ความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่น่าสนใจ” ดร.ปณิตาย้ำและว่า นอกเหนือจากการพัฒนา SME โดยตรง ทาง สสว. ยังได้มองการพัฒนาช่องทางการตลาดออนไลน์ให้กับ SME ไทย ไม่ต้องไปเสียค่า GP ให้กับแพลตฟอร์มการตลาดออนไลน์ของต่างชาติ

    “ทาง สสว. มีไอเดียจะทำศูนย์กลางตลาดออนไลน์เป็นแพลตฟอร์มของไทย เพื่อให้ SME ไทยได้มาเปิดค้าขายในแพลตฟอร์มออนไลน์ใหม่นี้ด้วยค่าบริการที่ต่ำเพื่อช่วยเหลือด้านการตลาดแก่ SME” เป็นแนวคิดที่รักษาการแทน ผอ. สสว. ระบุว่า งบส่วนที่เหลือจากกองทุน 5 พันล้านบาทที่จัดเป็นเงินกู้ไป 2.7 พันล้านบาท ที่เหลืออีก 2.3 พันล้านบาท ส่วนหนึ่งจะนำมาพัฒนาแพลตฟอร์มการตลาดที่ว่านี้เพื่อให้เป็นช่องทางการค้าขายออนไลน์ให้กับ SME ไทย


    “แทนที่ SME จะต้องไปเสียค่า GP ให้กับแพลตฟอร์มต่างประเทศ 20-30% เราพยายามพัฒนาแพลตฟอร์มภาครัฐให้มีค่า GP น้อยที่สุดเพื่อช่วย SME” ช่องทางนี้ยังสามารถส่งเสริมกระจายไปได้ทั่วประเทศ เช่นเดียวกับแพลตฟอร์มต่างประเทศซึ่งจะช่วย SME ไทยรับมือกับสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาตีตลาดด้วย

    “แพลตฟอร์มของรัฐยังไม่ได้ตั้งชื่อ แต่มีงบประมาณแล้ว 500 ล้านบาท ไม่ได้มาก แต่จะทำแบบน้ำซึมบ่อทราย ทำให้ดีและเปิดกว้างสำหรับร้านค้าผู้ประกอบการคนไทย” ดร.ปณิตายังบอกด้วยว่า เงินทุนอีกส่วนหนึ่งจะกันไว้สำหรับพัฒนาอินฟลูเอนเซอร์คนไทย สำหรับเด็กจบใหม่ที่อยากเป็นอินฟลูฯ ส่งเสริมให้พวกเขาไปได้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ตามนโยบายของรัฐบาล

    ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในบทบาทผู้นำ สสว. ที่ ดร.ปณิตารับผิดชอบ เธอมั่นใจในความรู้ความสามารถเกี่ยวกับ SME และฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของ SME ในประเทศไทย เป็นภารกิจผู้นำหญิงที่โดดเด่น แม้จะเป็นหน่วยงานรัฐแต่ก็ผลักดันการดำเนินการทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว ซึ่งในหลักคิดของ ดร.ปณิตาเธอย้ำว่า ทุกอย่างเป็นไปได้หากลงมือทำ ไม่มีอะไรที่ยากเกินความรู้ ความสามารถ และความตั้งใจจริง



ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์ และ สสว.



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : มิ้งค์ สระบุรี นักสนุกเกอร์หญิงไทยมือ 1 โลก

อ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกันยายน 2568 ในรูปแบบ e-magazine