ชายสูงวัยบุคลิกคล่องแคล่วในชุดสูทเป็นทางการเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดี เจ้าตัวบอกว่าดื่ม P80 เป็นประจำจึงแข็งแรง น้ำเสียงที่พูดเปี่ยมด้วยความภูมิใจ เพราะมันคือผลิตภัณฑ์ที่เขาหวังให้เป็นโปรดักส์ แสนล้านแบรนด์ไทย ดาวจรัสแสงดวงใหม่ของตระกูล “มหากิจศิริ”
กว่า 10 ปีที่ชายสูงวัยผู้นี้ไม่ยอมออกสื่อ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เขาไปร่วมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร P80 แต่ก็ยังไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวในชีวิตมากนัก ทีมงาน Forbes Thailand พยายามขอนัดสัมภาษณ์ในที่สุด ประยุทธ มหากิจศิริ ก็ยินดีบอกเล่าเรื่องราวบนเส้นทางชีวิตของมหาเศรษฐี อันดับที่ 21 จาก “50 อันดับมหาเศรษฐีไทย 2562” โดยนิตยสาร Forbes ด้วยมูลค่าความมั่งคั่งกว่า 5.84 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะประยุทธเป็นทั้งนักธุรกิจและนักอุตสาหกรรมแถวหน้าของไทย อีกทั้งเคยเป็นนักการเมืองในช่วงหนึ่ง มาวันนี้เขาใช้ชีวิตหลังเกษียณในวัย 75 ปี แต่ก็เปรยว่าไม่มีคำว่าเกษียณที่แท้จริงสำหรับคนทำธุรกิจ “เจ้าพ่อเนสกาแฟ” เป็นสมญานามที่คุ้นเคย แต่ในความเป็นจริงแล้วประยุทธคือเจ้าของบริษัทผู้ผลิตกาแฟให้กับ “เนสกาแฟ” แบรนด์ดังของธุรกิจข้ามชาติบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ที่เขาไม่ได้มีหุ้นส่วนโดยตรง แต่กิจการกาแฟของประยุทธคือโรงงานผลิตกาแฟภายใต้ บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด อาณาจักรธุรกิจที่สร้างรายได้เพิ่มความมั่นคง มั่งคั่ง ให้กับครอบครัว “มหากิจศิริ” นอกเหนือจากธุรกิจอื่นใน “พีเอ็ม กรุ๊ป” ซึ่งมีกิจการมากกว่า 10 บริษัท เนื่องจากประยุทธบุกเบิกธุรกิจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรม เหล็ก ทองแดง กาแฟ อสังหาริมทรัพย์ สนามกอล์ฟ รวมทั้งกิจการด้านขนส่งสินค้า พลังงาน และโครงสร้างพื้นฐานลดบทบาทหลังการเมือง
เหตุการณ์การเมืองเมื่อปี 2540 ทำให้ประยุทธลดบทบาทการทำธุรกิจ ซึ่งเขาบอกว่าเป็นอุปสรรคใหญ่เพียงครั้งเดียวในชีวิตการทำธุรกิจกว่า 50 ปี “กระทบธุรกิจพอสมควรคนเราก็มีปัญหา คิดว่าเป็นวิบากกรรมที่เราต้องผ่านมา ผมถือเป็นคนลงทุนมากที่สุดในประเทศ เมื่อการเมืองมาเกี่ยวข้องก็ยุติบทบาทลง ดูแลธุรกิจที่มีอยู่ให้ดีโดยไม่ได้ขยับขยายธุรกิจต่อ คนเราต้องพอใจในสิ่งที่ตัวเองทำ” เขากล่าวพร้อมบอกว่า “การเมืองให้คนอื่นทำไปดีกว่า” สำหรับเขาที่ผ่านมามองว่าเป็นวิบากกรรม แต่ชีวิตก็ต้องเดินหน้าต่อวันนี้ประยุทธใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างมีความสุข เพราะมีลูกทั้งสามคนเข้ามารับไม้ต่อบริหารธุรกิจแสนล้านที่เขาสร้างมากับมือ ให้เติบโตต่อไปภายใต้มุมมองวิสัยทัศน์ของคนรุ่นใหม่ที่ประกอบด้วย อุษณีย์ มหากิจศิริ บุตรสาวคนโต เฉลิมชัย มหากิจศิริ บุตรชายคนกลาง และอุษณา มหากิจศิริ ทัพพะรังสี บุตรสาวคนเล็ก ทั้งสามคนรับภารกิจดูแลธุรกิจของ “มหากิจศิริ” ต่างกันไปตามความชอบและความถนัดโดยมีเขาดูแลอยู่ห่างๆ ในฐานะที่ปรึกษาประธานกิตติมศักดิ์ในทุกบริษัทของพีเอ็มกรุ๊ป นั่นหมายความว่า เขายังมีส่วนรับรู้และร่วมตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ขณะที่ทายาทธุรกิจ อุษณีย์และเฉลิมชัยรับผิดชอบดูแลธุรกิจกาแฟ บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด และกิจการขนส่งพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท โทรีเซนไทยเอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย “ผมวางมือตั้งแต่อายุ 60 ถือว่า 10 กว่าปีแล้วที่ค่อยๆ วางมือไป ตอนนี้ลูกชายและลูกสาวรับช่วง ผมก็ดูอยู่ห่างๆ ให้กำาลังใจพยายามสนับสนุนเท่าที่จะทำได้” ประยุทธยืนยัน แม้จะยังเป็นที่ปรึกษาอยู่ในทุกบริษัทของพีเอ็ม กรุ๊ป แต่เขาก็ถอยออกมาจากตำาแหน่งผู้บริหารสูงสุด ปล่อยวางอาณาจักรแสนล้านให้อยู่ในการบริหารของคนรุ่นใหม่ซึ่งแน่นอนความคิดและมุมมองหลายอย่างต่างไปจากรุ่นบุกเบิกอย่างเขาวางใจทายาททำได้ดีถึง 80% ความเห็นต่างมักจะเกิดขึ้นเมื่อคิดจะทำอะไรใหม่ เช่นการลงทุนใหม่ซึ่งในระยะหลังจะเห็นว่ารุ่นที่ 2 ของมหากิจศิริได้โชว์วิสัยทัศน์ผ่านการขยายการลงทุนใหม่ๆ โดยเฉพาะในธุรกิจด้านอาหารไม่ว่าจะเป็นการไปซื้อสิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์จาก บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อบริหารร้านพิซซ่าฮัทในไทยทั้งหมด 92 สาขามาตั้งแต่ ปี 2560 พร้อมแผนขยายอีก 100 สาขาภายใน 4 ปี และความเคลื่อนไหวที่เจรจากับยัมเรสเทอรองตส์ต่างประเทศเพื่อนำ “ทาโก้ เบลล์” เชนร้านอาหารจานด่วนกึ่งเม็กซิกันสไตล์เข้ามาเปิดในเมืองไทย เพื่อลดความเสี่ยงเพราะธุรกิจหลัก TTA ที่ให้บริการเดินเรือขนส่งสินค้านั้น มีหลายปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทั้งค่าน้ำมันค่าระวางเรือ ปริมาณลูกค้า เป็นธุรกิจที่มีช่วงวงจรขึ้นลงสลับกัน แต่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจะเติบโตและมีความมั่นคงกว่า เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรคนก็ต้องบริโภค รุ่นที่ 2 ของมหากิจศิริจึงยังมีแผนเติมแบรนด์ธุรกิจอาหารเข้ามาในพอร์ตอีกเรื่อยๆP80 แบรนด์ไทยสู่ตลาดโลก
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบรนด์ P80 ที่ทายาทมหากิจศิริริเริ่มขึ้นเป็นการนำผลงานวิจัยด้นอาหารมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์นั่นคือสารสกัดจากลำไยที่จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพทำให้นอนหลับสนิทได้ยาวนานเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ครอบครัวมหากิจศิริ มุ่งหวังจะให้เป็นสินค้าดาวรุ่งแบรนด์ไทยที่ขยายตลาดไปทั่วโลก เพราะสามารถตอบโจทย์ด้นสุขภาพที่คนทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ ธุรกิจนี้ดำเนินการในนาม บริษัท เนเชอรัล เบฟ จำกัด ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2559 ผ่านมากว่า 3 ปีกิจการไปได้ดีรายได้แตะพัานล้านบาทแล้ว“พลังบวก” ต่อยอดธุรกิจ
เมื่อถามถึงมุมมองต่อการลงทุนในฐานะนักธุรกิจแถวหน้า ประยุทธเผยเคล็ดลับว่า “ต้องทำในสิ่งที่ตนเองถนัดและชอบ ส่วนความใหญ่หรือเล็กของธุรกิจเป็นอันดับรองขอให้ยึดหลักทำสิ่งที่ชอบและมั่นคง คนเรามีเงิน 1 ล้านกับอีกคนมีหมื่นล้าน คนที่มี 1 ล้านมีความสุขมากกว่าคนมีเงินหมื่นล้านก็มีเยอะไป” เขาหมายถึงความสุขจากการได้ทำในสิ่งที่ถนัดและชอบพร้อมบอกด้วยว่า อย่าไปวัดอย่าไปเปรียบเทียบ โอกาสทำธุรกิจมีเยอะในสังคม ขอให้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบและพอใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ รวมทั้งยึดในความดีและความถูกต้อง ถูกกฎหมย แค่นี้ตัวเองก็จะมีความสุข ที่สำคัญลูกหลานก็จะดีและปลอดภัย ก่อนจบการสัมภาษณ์ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียง 1 ชั่วโมง ชายสูงวัยผู้คร่ำหวอดในวงการธุรกิจบอกกับทีมงานอย่างอารมณ์ดีถึงกิจกรรมในวันที่เรานัดสัมภษณ์กันที่โรงเรียนดนตรีบางกอกซิมโฟนี (BSS) อาคารเคี่ยนหงวนเขามาที่นี่ประจำทุกวันเสาร์เพื่อเรียนดนตรีมันเป็นความสุขอีกอย่างในชีวิตหลังเกษียณ “ผมอยากมีทักษะดนตรีบ้าง คนเราถ้ามีโอกาสแนะนำเรื่องดนตรี การร้องเพลงมันคู่กับชีวิต เป็นการผ่อนคลายที่ดี ทุกวันนี้ผมเล่นกอล์ฟ 3 วัน เล่นเทนนิส 3 วัน วันเสาร์มาเรียนดนตรี เวลาหมดแล้ว 1 สัปดาห์ส่วนธุรกิจก็ปล่อยให้ลูกๆ ทำ” ภาพ: กิตติเดช เจริญพรคลิกอ่านฉบับเต็ม "ประยุทธ มหากิจศิริ วางธุรกิจแสนล้านในมือรุ่นที่ 2" ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2562 ได้ในรูปแบบ e-Magazine