คลื่นลูกใหม่แห่งอาณาจักร “โกลเบล็ก” พร้อมผนึกกำลังขับเคลื่อนภาคต่อธุรกิจค้าทองคำและหลักทรัพย์ทะยานแตะหลักแสนล้าน ด้วยความมั่นใจในความรู้และไมล์ประสบการณ์ที่สั่งสมตลอดเส้นทาง ภายใต้คัมภีร์ที่ถ่ายทอดให้ยึดมั่นใน “ความซื่อสัตย์สุจริต” เป็นหัวใจสำคัญของ “ครอบครัว” เป็นปลายทางความสุขแท้จริง
8 ทศวรรษของตระกูลผู้ค้าทองที่มีปฐมบทจากกิจการร้านทองในจังหวัดปราจีนบุรีตั้งแต่ปี 2483 ก่อนจะขยับขยายเข้าสู่มหานครในชื่อ ห้างทองจิ้นไถ่เฮง (แม่ไฉน) ย่านวรจักรและก่อตั้ง บริษัท เกรทเทสท์ โกลด์ แอนด์ รีไฟเนอรี จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจทองคำแบบครบวงจรรวมถึงสร้างโรงงานสกัดทองคำในนิคมอุตสาหกรรม อัญธานี เมื่อปี 2537 พร้อมสร้างชื่อเป็นผู้นำเข้าและส่งออกทองคำติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศไทย
ก้าวสำคัญในการวางรากฐานทางอาณาจักรที่แข็งแกร่งเริ่มขึ้นในรุ่นที่ 2 ของคูหาเปรมกิจ นำโดยโอฬาร ทายาทคนโตของตระกูลที่เล็งเห็นโอกาส แปรเปลี่ยนประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าทองสู่การเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ พร้อมผนึกกำลังกีรติพงษ์ ซึ่งเป็นน้องของโอฬาร หรือทายาทคนที่ 3 เป็นกำลังสำคัญร่วมเดินหน้าปั้นธุรกิจการลงทุนเต็มรูปแบบภายใต้ชื่อบริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2546 และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2547
“เราทำร้านค้าส่งทองคำตั้งแต่สมัยคุณปู่ชื่อ จิ้นไถ่เฮง วรจักร และจับพลัดจับผลูทำส่งออกจิวเวลรี่ เครื่องเงิน ก่อนจะเป็นทองคำแท่ง ซื้อมาขายไปในตลาดและโรงงานหลอมทอง โดยทำทองมานานกว่า 20 ปีจึงมาเป็นโบรกเกอร์ ในช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้งก็มีใบอนุญาตออกมา คุณพ่อเล็งเห็นโอกาสจึงเข้ามาถือในธุรกิจหลักทรัพย์” ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เล่าถึงการบุกเบิกธุรกิจด้านการลงทุนของบิดา
สำหรับการดำเนินธุรกิจของ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชน) จะมุ่งเน้นที่ธุรกิจซื้อขายทองคำแท่งและถือหุ้นในบริษัทอื่นในลักษณะ holding company ซึ่งแบ่งเป็นบริษัทย่อย 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท โกลเบล็ก จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทหลักในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยการประกอบธุรกิจเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การค้าหลักทรัพย์ การจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ การเป็นที่ปรึกษาการลงทุน การเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน การประกอบธุรกิจซื้อขายสัญญาล่วงหน้า และการยืมหรือให้ยืมหลักทรัพย์
ส่วนบริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัท เอเซีย อิควิตี้ เวนเจอร์ จำกัด ดำเนินธุรกิจร่วมลงทุนในบริษัทอื่น โดยเน้นลงทุนในกิจการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) หรือธุรกิจที่ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมสนับสนุน ธุรกิจที่เป็นประโยชน์ต่อระบบการค้าและเศรษฐกิจของประเทศ
ขณะที่ธุรกิจซื้อขายทองคำแท่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2552 จากการดำเนินธุรกิจด้านการลงทุนสู่การเป็นสมาชิกสมาคมค้าทองคำและสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ โดยสามารถขยายกิจการให้เกิดความครอบคลุมทั้งในเครื่องมือด้านการลงทุนและการออม จนกระทั่งในปัจจุบันธุรกิจซื้อขายทองคำแท่งสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและขึ้นแท่นธุรกิจหลักที่ครองสัดส่วนรายได้สูงสุด
“ช่วงนั้นธุรกิจหลักทรัพย์ยังแข่งขันกันไม่สูง เราเป็นโบรกเกอร์หมายเลข 25 ซึ่งคุณลุงและคุณพ่อมองบริษัทหลักทรัพย์เป็นสถาบันการเงินที่มีช่องทางเข้าถึงตลาดทุนได้ โดยหลังจากทำโบรกเกอร์ประมาณ 8-9 ปี ราคาทองค่อนข้างผันผวน ทำให้เราสนใจเพิ่มธุรกิจนำเข้าส่งออกทองคำแท่งเพื่อรับโอกาสขณะนั้น ซึ่งเรามีทั้งความรู้และความเข้าใจธุรกิจทองคำแท่งอยู่แล้ว” ธราภุช คูหาเปรมกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการต่อยอดธุรกิจค้าทองคำในอาณาจักร
สำหรับสินค้าของบริษัทเป็นทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 96.5% แบรนด์ Globlex และทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 99.99% ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลภายใต้แบรนด์ชั้นนำในต่างประเทศ โดยมีการซื้อขายทองคำแท่งน้ำหนักขั้นต่ำตั้งแต่ 5 บาท ทองคำสำหรับทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 96.5% และการซื้อขายขั้นต่ำอยู่ที่น้ำหนัก 1 กิโลกรัม หรือ 65.6 บาทสำหรับทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 99.99% พร้อมธุรกิจซื้อขายสัญญาล่วงหน้า Gold-D Futures สามารถส่งมอบและรับมอบสินค้าอ้างอิงเป็นทองคำแท่งได้
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีบริการอำนวยความสะดวกการซื้อขายให้กับลูกค้า เช่น บริการรับส่งทองคำในพื้นที่ที่บริษัทกำหนด บริการแปลงสัญญา Gold Futures เป็นทองคำแท่ง บริการชำระเงินผ่านระบบตัดบัญชีธนาคารอัตโนมัติ (ATS) บริการ SMS แจ้งราคาทองคำ และประเด็นข่าวสำคัญ บริการบทวิเคราะห์ราคาทองคำ และที่ปรึกษาการลงทุนในทองคำที่เปิดให้บริการซื้อขายทองคำแท่งตั้งแต่เวลา 08.30-24.00 น. และโครงการออมทอง รวมถึงการซื้อขายทองผ่านแอปพลิเคชัน และข้อมูลข่าวสารเป็นประจำ
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในปัจจุบันมีรายได้ปี 2562 จำนวน 8.29 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 17.01 ล้านบาท ภายใต้สินทรัพย์รวม 2.71 พันล้านบาท โดยคิดสัดส่วนรายได้จากการขายทองคำแท่งประมาณ 99.42% ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 0.28% และรายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการ 0.15%
“ถ้านับจากส่วนผู้ถือหุ้น หลักทรัพย์ใหญ่กว่า แต่ทองคำมียอดขายในอัตราส่วนมากกว่า ซึ่งในงบของโฮลดิ้งจะ consolidate บริษัทหลักทรัพย์ในเครืออยู่แล้ว แต่ในอัตราส่วนน้อย ในส่วนของกำไรจะเป็นการปันผลมากกว่า โดยหลักทรัพย์จะมีปันผลให้ทางโฮลดิ้ง ซึ่งการทำงานจะอยู่ตึกเดียวกันและชั้นเดียวกัน แต่แบ่งโซนโฮลดิ้งและหลักทรัพย์ชัดเจน” ธราภุชกล่าวถึงธุรกิจทองคำและหลักทรัพย์ของบริษัท
ภายใต้ภารกิจที่ได้รับมอบหมายในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 ของคูหาเปรมกิจ โดยธนพิศาลในวัย 37 ปี นำทัพธุรกิจหลักทรัพย์ และธราภุชในวัย 35 ปี นำทัพธุรกิจทองคำ พร้อมร่วมกันขับเคลื่อนอาณาจักรให้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งสู่ระดับแสนล้านบาท ด้วยแนวทางการบริหารธุรกิจแบบมืออาชีพผสมผสานการทำงานที่ยังคงความเป็นพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน โดยสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์การทำงาน และให้คำปรึกษาทางธุรกิจ
“คุณพ่อมีพี่น้องทั้งหมด 4 คน รวมท่านด้วย มีคุณพ่อ คนที่ 2 เป็นผู้หญิง และพ่อของคุณเซนต์ รวมถึงคนสุดท้ายเป็นผู้หญิง โดยคุณเซนต์เป็นลูกคนโตของคุณอา ส่วนผมเป็นลูกคนสุดท้องหรือคนที่ 3 ของคุณพ่อที่เป็นคนโต ซึ่งผมเข้ามาก่อนคุณเซนต์ (ธราภุช) โดยดูภาพรวมของธุรกิจหรือโฮลดิ้งในปี 2550 จนปี 2555 ผู้บริหารหลักทรัพย์ลาออก และมีการโยกย้าย รวมถึงมีปัญหาค่อนข้างมาก เราจึงข้ามมาดูฝั่งนี้ ส่วนคุณเซนต์ให้ช่วยดูฝั่งโฮลดิ้ง เหมือนสลับบทบาทกัน” ธนพิศาลกล่าวถึงจุดเริ่มของการนำทัพธุรกิจ
ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานต่อยอดความยั่งยืนทางธุรกิจ ทายาทคูหาเปรมกิจยึดมั่นในหลักคำสอนที่เป็นเสมือนปรัชญาทางธุรกิจในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต และดูแลลูกค้าของบริษัทพร้อมให้ความสำคัญกับครอบครัว ทั้งการพูดคุยให้คำปรึกษาการทำงาน และให้ความเคารพซึ่งกันและกัน โดยหัวใจความสำเร็จแท้จริงอยู่ที่ความสุขของครอบครัว
ธราภุชย้ำถึงปรัชญาการทำงานที่ได้รับการถ่ายทอด “ครอบครัวทำธุรกิจทองคำกว่า 80 ปี โดยอาก๋ง คุณลุง และคุณพ่อจะสอนตลอดว่าสิ่งที่ทำให้เราอยู่ในธุรกิจนี้ได้คือ ความซื่อสัตย์และความจริงใจกับลูกค้าเป็นเรื่องสำคัญ รวมถึงครอบครัวต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ด้วยความที่เฮียอัพเป็นพี่ และเป็นคนที่เก่งมาก ตั้งแต่เด็กเรียนมาด้วยกัน ผมมีความเคารพและชื่นชมเฮียอัพมาก เวลาตัดสินใจเรื่องใหญ่เราจะมีการคุยกัน เพราะสุดท้ายแล้วครอบครัวจะเป็นหัวใจหรือความสุขของชีวิต”
ภาพ: ชัยสิทธิ์ จุนเจือดีคลิกอ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มของพวกเขาได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤษภาคม 2563 ในรูปแบบ e-magazine