เปิดฉาก
ตำนานตลาดปากเพรียว จ. สระบุรี คือสถานที่ที่ชัยวัฒน์ เติบโตและคลุกคลีมาตั้งแต่เด็ก กิมฮง พ่อของเขา ยึดอาชีพค้าขายมาตั้งแต่ชัยวัฒน์จำความได้ บางครั้งลูกคนโตในจำนวน 8 คนอย่างเขาต้องติดตามกิมฮงไปค้าขายที่กรุงเทพฯ หรือบางคราวก็ต้องหิ้วตะเกียงเจ้าพายุฝ่าความมืดออกไปช่วยพ่อรับผ้าจากสถานีรถไฟแล้วคัดแยกให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละรายเมื่อโตพอจะเข้าโรงเรียนได้ กิมฮงก็ส่งชัยวัฒน์ไปเข้าเรียนที่โรงเรียนเผยอิงในกรุงเทพฯ แล้วย้ายกลับมาสระบุรี เพื่อเรียนที่โรงเรียนพิฉายรวมมิตรศึกษา (เผยไฉ) ก่อนจะเข้ากรุงเทพฯ อีกครั้ง ไปเรียนต่อชั้นเตรียมมัธยมที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล “เรียนได้ปีกว่าๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีความรู้อะไรมากขึ้นกว่าเดิม เพราะติดเพื่อน ชอบเที่ยว คิดว่าอยู่เมืองไทยก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เลยไปเรียนเมืองนอกดีกว่า” ชัยวัฒน์ถ่ายทอดชีวประวัติของตนไว้ในหนังสือ “ชีวิตคือบทเรียน : ดร. ชัยวัฒน์ แต้ไพสิฐพงษ์” ซึ่งครอบคลุมทุกช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเขาชัยวัฒน์เลือกศึกษาต่อที่ St. Stephen’s College ในฮ่องกง ด้วยเหตุผลว่ามีชาวจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ความมีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนอื่นง่าย ทำให้เพื่อนฝูงต่างรักใคร่ชอบพอ ชัยวัฒน์ จากที่จะไปร่ำเรียนหาความรู้ตามที่กิมฮงหวังไว้ กลับกลายเป็นผิดคาด เพราะชัยวัฒน์มักใช้เวลาเที่ยวเล่นกับเพื่อนฝูงอยู่เสมอ จนวันหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจกลับเมืองไทยด้วยเหตุผลว่าอยู่ฮ่องกงต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด สู้กลับมาช่วยพ่อทำกิจการค้าขายน่าจะดีเสียกว่าเมื่อชัยวัฒน์กลับมา กิมฮงซึ่งเปลี่ยนการค้าจากขายผ้าเป็นดูแลกิจการโรงสีไฟปากเพรียว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำป่าสักก็ได้ให้ชัยวัฒน์ซึ่งขณะนั้นอายุราว 20 ปี เข้ามาช่วยบริหารในตำแหน่งผู้จัดการโรงสี รับเงินเดือนราว 800 บาท “ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาทำงานที่โรงสี แต่เตี่ยมีหุ้นอยู่ในโรงสีนี้คนที่จะเข้ามาทำงานต้องไว้ใจได้ เพราะต้องดูแลเรื่องเงินซื้อข้าวขายข้าวต่างๆ ผมเลยได้เข้ามาทำ มีคนสบประมาทว่าผมเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ และคงจะทำงานได้ไม่กี่วันก็คงออกไป...” เป็นตอนหนึ่งที่ชัยวัฒน์เล่าไว้ในหนังสือความขยันขันแข็งและการทำงานหนัก ทำให้คนที่เคยตั้งแง่กับชัยวัฒน์ลดกำแพงลง และร่วมแรงร่วมใจกันทำให้โรงสีไฟปากเพรียวเจริญก้าวหน้า เมื่อโรงสีที่มีอยู่เดิมสามารถซื้อข้าวมาสีได้เต็มที่เพียงวันละ 40 เกวียน ชัยวัฒน์ก็คิดหาทางขยับขยายกิจการเขาขยายโรงสีมาทางถนนใหญ่ บริเวณแยกมิตรภาพ ห่างจากโรงสีเดิมราว 2 กิโลเมตร แต่อุปสรรคหลักคือที่ดินที่จะสร้างโรงสีนั้นไม่ได้ติดแม่น้ำ เพราะน้ำจะช่วยในการตากข้าวหรือนึ่งข้าวสำหรับส่งไปต่างประเทศ เขาจึงแก้ปัญหาด้วยการเจรจากับราชการเพื่อขอวางท่อส่งน้ำ และปรับพื้นที่ลานสำหรับตากข้าวให้มีเนื้อที่หลายสิบไร่ และสามารถรับสีข้าวได้กว่า100 เกวียนต่อวัน โดยเปิดให้บริการในปี 2499 ด้วยทำเลที่ตั้งซึ่งติดถนนใหญ่ ทำให้ง่ายต่อการขนส่งข้าวไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั้งกรุงเทพฯ หรืออีสาน และมีส่วนทำให้เกษตรกรมาขายข้าวกับโรงสีของชัยวัฒน์ มากขึ้น เถ้าแก่หนุ่มอย่างชัยวัฒน์ เป็นคนชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะเครื่องยนต์และเครื่องจักรต่างๆ เขาสั่งซื้อเครื่องชั่งยี่ห้อ Yamato จากญี่ปุ่นมาใช้ เพื่อจะได้ชั่งข้าวแล้วนำไปกองได้เลยโดยไม่ต้องตวงเป็นถังและสั่งรถตักดิน Caterpillar มาดัดแปลงให้เป็นรถตักข้าวเปลือก เพื่อให้ขนข้าวได้เร็วยิ่งขึ้น และยังเป็นคนกล้าคิดนอกกรอบ ด้วยการนำเข้า ปุ๋ยเคมีมาจำหน่ายเป็นรายแรกของประเทศ แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ยังนิยมปุ๋ยอินทรีย์ ทำให้ธุรกิจปุ๋ยเคมีของชัยวัฒน์ต้องประสบความล้มเหลว แต่เขาก็ไม่เสียใจ เพราะมองว่าวันหนึ่ง ปุ๋ยเคมีจะเป็นสิ่งที่เกษตรกรส่วนใหญ่ต้องใช้ ระหว่างที่ชัยวัฒน์เริ่มทำธุรกิจโรงสีนั้นเอง เขาก็พบรักและแต่งงานกับ บังอร ศิริรังคมานนท์ ซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากพ่อของบังอรเปิดร้านขายของในตลาดปากเพรียวด้วยเช่นกัน ทั้งสองร่วมสร้างครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกด้วยกันทั้งหมด 6 คน คือ อัญชนา (แต่งงานกับ กรพจน์ อัศวินวิจิตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์) วนัส ดร.วรัญ วสิษฐ วสันต์ และกนกรัตน์ แล้วความเปลี่ยนแปลงในชีวิตครั้งใหญ่ก็มาถึง เมื่อชัยวัฒน์ในวัย 38 ปี ต้องก้าวเข้ามารับผิดชอบธุรกิจใหม่คือเบทาโกรในปี 2516 ชัยวัฒน์เล่าไว้ในหนังสือว่า ขณะนั้นเขาไม่มีความรู้เรื่องอาหารสัตว์เลยสักนิด แต่ที่ต้องเข้ามาทำเพราะพ่อของเขามีหุ้นอยู่ในเบทาโกรและเป็นช่วงที่บริษัทอยู่ในสภาวะยุ่งเหยิง ทั้งเรื่องบุคลากร ค่าใช้จ่ายลูกค้า ฯลฯ จึงต้องหาผู้บริหารมาช่วยจัดการ เขานำเครื่องจักรผลิตอาหารสัตว์ยี่ห้อ Buhler มาใช้เป็นรายแรกของประเทศ ใช้ระบบคอมพิวเตอร์คำนวณสูตรอาหารสัตว์ เริ่มธุรกิจโรงเชือดไก่แบบทันสมัยแห่งแรกที่อ้อมน้อย จ. สมุทรสาคร โดยร่วมทุนกับ บริษัท โตโชกุ จำกัด จากญี่ปุ่น แต่ต้องพบอุปสรรค เพราะคนไทยไม่ชอบรับประทานไก่แช่เย็น ทำให้ขาดทุนเดือนละเป็นล้านบาท จนบริษัทญี่ปุ่นขอถอนตัว แต่ไม่นานธุรกิจโรงเชือดไก่ก็ดีขึ้นเพราะมีการส่งออกไก่แช่แข็งไปต่างประเทศมากขึ้น และลูกค้าในไทยก็ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ชัยวัฒน์ยังนำเข้าพันธุ์หมูจากอังกฤษ ใช้วิธีเช่าเหมาเครื่องบินเพื่อบรรทุกหมูจาก London สู่กรุงเทพฯ ด้วยเหตุผลว่าเป็นหมูสายพันธุ์ดี และตลาดเมืองไทยยังรองรับได้อีกมากชัยวัฒน์คาดการณ์ไม่ผิด เพราะใช้เวลาไม่นานเขาก็คืนทุนได้สำเร็จในสายตาพนักงาน ชัยวัฒน์คือผู้นำที่ลุยงานโดยไม่หวั่นความยากลำบาก เมื่อมีโครงการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมของเบทาโกร ชัยวัฒน์ จะลงทุกรายละเอียด ทั้งหาพื้นที่สร้างโรงงานดูแบบแปลนพิมพ์เขียว รวมถึงการลงพื้นที่เพื่อดูแลการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด “นี่คือความสุขของผม” เขาบอกไว้ชัยวัฒน์บริหารกลุ่มเบทาโกรให้เจริญเติบโตด้วยดีมาเป็นลำดับ กระทั่งปี 2531 ชัยวัฒน์ก็ตัดสินใจส่งมอบไม้ต่อการบริหารงานในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ให้วนัสวัย 29 ปี ซึ่งเป็นลูกชายคนโต ส่วนตัวเขาเองขึ้นไปเป็นประธานกรรมการกลุ่มเบทาโกร และยังคงทุ่มเทพลังให้กับการทำงานอย่างไม่หยุดนิ่ง ความรู้ความสามารถที่เขาได้จากนอกห้องเรียน ทำให้สถาบันการศึกษาหลายแห่งมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้ชัยวัฒน์ แม้กระทั่งตอนนี้ ชัยวัฒน์ในวัย 81 ปี ก็ยังคงสนใจไต่ถามความเป็นไปในการดำเนินธุรกิจกลุ่มเบทาโกรจากลูกๆ อยู่เสมอ “ต้องยอมรับว่าโลกเปลี่ยนไป หลักการบริหารก็ต้องเปลี่ยนด้วยความคิดของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นผมไม่เหมือนกัน วนัสเขามีในสิ่งที่ผมขาดไป ที่เห็นชัดที่สุดก็คือเรื่องของมนุษยสัมพันธ์ เขาเป็นคนพูดจาดี มีหลักการและเหตุผล” ชัยวัฒน์ กล่าวถึงวนัสไว้ในหนังสือรุ่น 3 บริหารอย่างเป็นระบบ

คลิ๊กอ่านฉบับเต็ม "ชัยวัฒน์-วนัส แต้ไพสิฐพงษ์ สองรุ่นร่วมสร้างเบทาโกร" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ NOVEMBER 2016 ในรูปแบบ e-Magazine
