ยุคนี้เป็นเวทีสำหรับคนรุ่นใหม่ ศิลปิน นักแสดง นักร้อง พวกเขาเป็นที่ยอมรับ มีผลงานหลากหลาย เก่งรอบด้าน ดังเช่นแขกรับเชิญฉบับนี้ที่นอกจากบุคลิกหน้าตาดี จิตใจดี เขายังมีหัวใจยั่งยืน ไม่ตกเทรนด์
Sustainability วันนี้ไม่ได้พูดเฉพาะใน แวดวงธุรกิจ แต่ศิลปินรุ่นใหม่อย่าง “บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล” นักแสดง นักร้อง และนายแบบคนดังก็มีหัวใจที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนไม่แพ้กัน ในวันที่เขาให้เกียรติมาขึ้นปก Forbes Thailand ในฐานะ The Celebrity
สำหรับปี 2566 บิวกิ้นมาพร้อมโปรเจกต์มากมายในมือแน่นอนสำหรับเขางานบันเทิงคือพอร์ตใหญ่ แต่ธุรกิจใหม่ๆ ที่บิวกิ้นกำลังวางรากฐานอย่างการทำโปรดักต์ใหม่ๆ อีก 2-3 แบรนด์ เขาให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนเป็นหนึ่งในแผนงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต ต้องบอกว่า หนุ่มน้อยวัย 23 ปีผู้นี้อินเทรนด์ในทุกกิจกรรมที่ทำเลยทีเดียว
ห้อง Corner Suite โรงแรม Waldorf Astoria Bangkok สว่างไสวด้วยผนังกระจกที่ เปิดมุมมองถนนราชดำริและเส้นการเดินทางของรถไฟฟ้าบีทีเอสสายหลัก ทำให้เห็นบรรยากาศกรุงเทพฯ ยุคใหม่ชัดเจนด้วยระบบการคมนาคมที่สะดวกสบาย โรงแรมหรูกลางเมืองแห่งนี้จึงเหมาะที่จะเป็นห้องพักสำหรับคนที่ต้องการความสะดวกสำหรับการเดินทางในเมือง และเหมาะสำหรับพักผ่อนอย่างหรูหราและสบายในโรงแรมระดับ 6 ดาว วิวพาโนรามา 360 องศาของห้องนั่งเล่นที่ผนังกระจกเปิดรับแสงบนถนนราชดำริทำให้ห้องดูกว้างและสว่างไสว ยิ่งเมื่อรวมกับออร่าในตัวของศิลปินหนุ่ม บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ ทำให้บรรยากาศในห้องดูสดใสมีชีวิตชีวา เอื้อต่อการพูดคุยอย่างเป็นกันเองได้ดี กับบุคลิกที่ดูสบายๆ แม้เขาจะมาในมาดกึ่งธุรกิจด้วยชุดสูทสีเข้ม แต่ทรงผมและแววตาที่สดใสขี้เล่นก็ชวนให้การพูดคุยไม่เคร่งเครียดเหมือนการสัมภาษณ์นักธุรกิจทั่วไป ขณะเดียวกันก็ดูเป็นทางการมากกว่าการสัมภาษณ์ศิลปินในวงการบันเทิง
นักร้อง นักแสดง นักธุรกิจ
“ทำหลายอย่างเลยครับ ทั้งงานแสดง งานเพลง ทุกอย่างใน Billkin Entertainment เราผลิตงานเพลง รับงาน side experience ของเพลงอย่างงาน showbiz และอีเวนต์เพลงต่างๆ” บิวกิ้นตอบคำถามแรกเมื่อทีมงานเปิดประเด็นพูดคุยด้วยเรื่องงานว่าช่วงนี้ทำอะไรอยู่บ้าง เพราะเห็นผลงานปรากฏผ่านสื่อต่างๆ แทบทุกช่องทาง ทั้งงานเพลง งานแสดง งานพรีเซ็นเตอร์ โชว์ตัวอีเวนต์ต่างๆ โดยเฉพาะงานเพลง ซึ่งเขาบอกว่า ถ้าในส่วนของบิลกิ้น เอนเตอร์เทนเม้นท์ ออกซิงเกิลมาแล้ว 5 เพลง ทำเป็นอีพีล่าสุดเพิ่งออกเป็นมินิอัลบั้มดูเหมือนผลงานเพลงจะมาแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และมีอีเวนต์เกี่ยวกับเพลงออกมาอย่างต่อเนื่อง เขายังเดินสายไปโชว์เพลงในต่างประเทศหลายแห่ง
ล่าสุดก่อนที่จะพูดคุยกับทีมงานเขาเพิ่งกลับจากการแสดงคอนเสิร์ตที่ Qingdao สาธารณรัประชาชนจีน เป็นเวทีซึ่งได้การตอบรับจากแฟนเพลงและแฟนคลับล้นหลาม คนดูเรือนแสนทำเอาเจ้าตัวถึงกลับออกมาแสดงความตื่นเต้นผ่านไอจีส่วนตัว เพราะแฟนเพลงนับแสนที่เป็นชาวจีนสามารถร้องเพลงตามได้ไม่ต่างจากแฟนเพลงชาวไทย หลังสัมภาษณ์อีกวันเขามีคิวไปโชว์เพลงที่ไต้หวันและอีกหลายแห่ง คิวค่อนข้างแน่น
“เพลงไทยไม่ใช่อุปสรรค เพราะมันเป็นภาษาดนตรี เนื้อร้องไม่ว่าจะภาษาอะไรก็สื่อถึงกันได้ เหมือนนักร้องเคป๊อปที่ได้รับความนิยมในโลกตะวันตกรวมถึงบ้านเรา ผมว่ามันเป็นภาษาดนตรีสื่อกันได้หมด” บิวกิ้นตอบด้วยรอยยิ้มกว้างเมื่อถูกถามว่าเดินสายไปหลายประเทศ แต่เป็นการโชว์เพลงไทยไม่เป็นอุปสรรคหรือ คำตอบที่ได้ไม่แปลกใจเลยเพราะมันคืองานศิลปะที่มีภาษาเป็นของตัวเอง คนเสพงานศิลป์รับอรรถรสอย่างปัจเจก งานเพลงก็ไม่ต่างกัน เขาใช้คำว่า “ภาษาดนตรี” การสื่อสารด้วยเส้นเสียงและลีลาเป็นภาษาที่คนรับฟังสัมผัสและซาบซึ้งได้ในแบบของแต่ละคน
ข้ามจากเวทีคอนเสิร์ตมาพูดคุยเรื่องอื่นๆ ที่บิวกิ้นทำนอกเหนือจากบันเทิงกันบ้าง เขาบอกว่า ได้เริ่มทำแบรนด์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ 2-3 แบรนด์ เริ่มจากแบรนด์ Caremate ลิปบาล์ม ที่เริ่มมาจากการที่เขาเป็นคนริมฝีปากแห้งเลยต้องทำลิปสำหรับใช้เอง เมื่อทำแล้วจึงกลายเป็นโปรดักต์ขึ้นมา โดยทำร่วมกับคู่ขวัญ พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร โปรดักต์น่ารักสดใสสมวัย นำเสนอด้วยเนื้อ
ของวัตถุดิบ สูตร CC Melty Lip Yuzu SPF 30 PA++ ลิปเนื้อนุ่มที่ผสานสารสกัดจากเชียบัตเตอร์และน้ำผึ้งที่ช่วยทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้นตลอดวัน และทาได้บ่อยตามต้องการ พร้อมมีสูตรบำรุงกลางคืน Caremate Brightening Lip Serum ช่วยดูแลเรื่องปัญหาริมฝีปากแห้งกร้าน ไม่สดใส ให้กลับมาเรียบเนียน มีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยขายผ่านไอจี caremate_official
ต่อมาเป็นอีกแบรนด์ที่ทำจริงจังเป็นเรื่องเป็นราวคือ WITAL กับสโลแกน WITAL Invest in Well-Being การลงทุนเพื่อสุขภาพ แน่นอนเขาหมายถึงผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ วิตามิน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ มีเว็บไซต์ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ผ่าน www.wital-thailand.com ล่าสุดมีผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอ 2 ตัว คือ WITAL B+Sage และ WITAL Immu Thyme เน้นเรื่องการบำรุงสุขภาพเป็นหลัก และมีช่องทางขายที่โดดเด่นคือ ไอจี witalthailand
“วันนี้ยังเป็นกลุ่ม supplement อาหารเสริม แต่อนาคตอาจไปแตะกลุ่ม FMCG พวกเครื่องดื่มเกี่ยวกับสุขภาพซึ่งอยู่ระหว่างคัดเลือกและออกแบบ” บิวกิ้นเผยไอเดียที่เขาวางไว้สำหรับ WITAL แบรนด์สินค้าเพื่อสุขภาพที่มีเรื่องเล่าและที่มาน่าสนใจ หากเข้าดูไปในเว็บไซต์จะพบว่าที่มาของผลิตภัณฑ์นี้มีการอธิบายสั้นๆ ไว้ว่า WITAL เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก่อตั้งโดย บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล นักแสดง นักร้อง มากความสามารถกับบทบาทใหม่ในมาดนักธุรกิจ ที่มาของชื่อ WITAL มาจาก WIT = ไหวพริบ + VITAL = สิ่งจำเป็น และแนวคิด Invest in Well-Being เพื่อตอบ-โจทย์การใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันในการมีสุขภาพ สมอง และร่างกายที่ดีอย่างยั่งยืน ดูจากที่มาของแบรนด์ซึ่งอธิบายไว้เพียงสั้นๆ ก็เรียกได้ว่ามีครบทั้งแบรนด์คอนเซ็ปต์และอิมเมจที่วางไว้ชัดเจน
อีกโปรดักต์ที่บ่งบอกความเป็นบิวกิ้นค่อนข้างชัดคือ แบรนด์ Reroute เป็นผลิตภัณฑ์แฟชั่น เสื้อผ้า กระเป๋า ที่ผลิตมาจากเส้นใยออร์แกนิกและวัสดุรีไซเคิล เปิดขายมาตั้งแต่ปลายปี 2565 ด้วยแนวคิดที่ต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับโลก โดยสร้างจากวัสดุรีไซเคิลและวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มาจากแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนซึ่งบิวกิ้นบอกว่า เขาคุ้นเคยกับคำนี้ตั้งแต่ยังเรียนในมหาวิทยาลัย ในบทเรียนมีการพูดถึงเทรนด์ของความยั่งยืน ความจำเป็นและความสำคัญ เขาจึงอยากนำมาใช้กับธุรกิจที่คิดจะทำให้ยืนยาวต่อไปในวันข้างหน้า
แนวคิดของบิวกิ้นกับแบรนด์ Reroute เขาบอกว่า วางไว้กว้างด้วยคอนเซ็ปต์ Wear The World คือเปิดกว้างทั้งโลกไม่จำกัดเฉพาะเสื้อผ้า แฟชั่น กระเป๋า ในอนาคตเขาอาจพัฒนาโปรดักต์ใหม่ๆ ที่ออกมาตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนและตอบโจทย์ของโลกไปพร้อมๆ กัน
อย่างไรก็ตามทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้น เขายังไม่มีรูปแบบที่ชัดเจนสำหรับโปรดักต์ในอนาคต แต่ตอบได้ว่าสิ่งนั้นจะต้อง Wear The World เหมือนคอนเซ็ปต์กว้างๆ ที่เขาตั้งไว้ สวมใส่โลก โอบกอดโลก สุดแต่ใครจะแปลนิยาม แต่ที่แน่นอนคือ ต้องเป็นมิตรกับโลกและยั่งยืน (ดูรายละเอียดสินค้าได้ผ่านช่องทางไอจี reroute.official)
ความสุขอยู่ที่ใจ
ตลอดเวลาของการพูดคุย บิวกิ้นดูจริงจังกับคำตอบเรื่องการทำธุรกิจ แต่ขณะเดียวกัน
ก็ดูสนุกสนานกับมันมากกว่าที่จะเคร่งเครียด เมื่อเราถามว่า คาดหวังอย่างไรกับธุรกิจที่เริ่มต้นเหล่านี้ เขาตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยด้วยรอยยิ้มสดใสสมวัย “ผมไม่ได้คิดว่าจะทำธุรกิจเพื่อความร่ำรวยมั่งคั่งอย่างมหาศาล แต่อยากทำธุรกิจที่เติบโตไปได้ด้วยดีกับโลก เป็นมิตรกับโลก ผลกำไรสำคัญนะ แต่ไม่ใช่ที่สุด กำไรไม่ใช่ทุกคำตอบของชีวิต” หนุ่มน้อยวัย 23 ปีเผยวิธีคิดซึ่งโลกในมุมมองของเขานั้นสวยงาม แน่นอนความพร้อมในชีวิตที่เติบโตมา คงมีส่วนไม่น้อยที่ทำให้เขามองโลกในแง่ดีแต่ความคิดและตรรกะในสมองทำให้เขาแยกแยะคำว่า ความสุข ความมั่งคั่ง และความร่ำรวยออกจากกันได้อย่างชัดเจน
ตอนหนึ่งในการพูดคุยเขาเปรยว่า “เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต และความสุขก็ไม่ใช่แค่มีเงิน จริงอยู่เงินเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ต้องมีพอใช้จ่ายหากต้องการให้มีความสุข แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมดเสมอไป” พูดจบก็ยิ้มสดใส นี่อาจเป็นประสบการณ์ที่เขาพบเจอมาตลอด ครอบครัวนักธุรกิจอย่างบิวกิ้นคุ้นเคยกับคำว่า การทำงาน การหาเงิน แต่ขณะเดียวกันก็คุ้นเคยกับคำว่า การหาความสุข “ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน” เขาบอกและว่า ในส่วนตัวเขามีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ งานทุกอย่างที่ทำของเขาคือความสุขเพราะเขาชื่นชอบในสิ่งที่ทำ และเอาใจลงไปใส่ในสิ่งที่ทำเสมออย่างที่รับรู้ทั่วกัน บิวกิ้นทำงานหลายอย่าง ทีมงานจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า เขาชอบงานอะไรมากที่สุด งานแสดง งานเพลง งานพรีเซ็นเตอร์ หรืออะไรคือสิ่งที่อยู่ในความสนใจของบิวกิ้นอันดับต้นๆ เขาตอบว่า “จริงๆ ก็อินกับทุกอันเลย ชอบทุกอันที่ทำ อยากจะพยายามนำเสนอตัวตนของเราออกมา แต่ส่วนที่ทำมากสุดก็จะเป็น Billkin Entertainment อื่นๆ เป็นเพียงตัวเสริม”
นั่นคือคำยืนยันหนักแน่นว่าสิ่งที่บิวกิ้นชอบมากที่สุดน่าจะเป็นงานในวงการบันเทิง และที่เป็นตัวตนของเขามากที่สุดก็น่าจะเป็นงานในวงการบันเทิงเช่นเดียวกัน ไม่น่าแปลกใจเพราะบิวกิ้นสร้างการรับรู้ตัวตนมาจากบันเทิง และยังคงโลดแล่นในโลกแห่งสีสันและความสนุกสนาน ส่วนงานอื่นๆ ที่เสริมเข้ามาก็เป็นโอกาสใหม่ๆ ที่ต่อยอดออกมาจากงานบันเทิงนั่นเอง
“Billkin Entertainment เพิ่งครบ 1 ปี เมื่อวานนี้ (1 มิถุนายน ปี 2566) เราแยกตัวออกมาหลังจากที่บ้านนาดาว converse ไปเราก็แยกมาทำเอง” เป็นประวัติคร่าวๆ ที่เขาถ่ายทอดให้ฟัง เส้นทางบนถนนสายบันเทิงของบิวกิ้นต่างจากดารานักแสดงอีกหลายคนที่ยังอยู่ในสังกัดใดสังกัดหนึ่ง รับงานภายใต้ค่ายที่กำกับดูแล แต่สำหรับบิวกิ้นเขาทำสังกัดของตัวเองชัดเจน รับงานด้วยตัวเอง มีทีมงานพร้อม มีความคล่องตัว ทีมงานประจำมีไม่มากนักราว 6 คน หากมีอีเวนต์หรืองานใหญ่ก็จะใช้วิธีจ้างแบบเอาต์ซอร์ส ซึ่งก็สามารถเลือกให้มากได้เท่าที่ต้องการโดยไม่มีข้อจำกัดตามสเกลของแต่ละงาน “งาน showbiz มีหลายเลเวลก็ทำไปเยอะ มีทั้งโชว์เล็กๆ โชว์ใหญ่ งานโชว์ในต่างประเทศ งานในประเทศ งาน fan meeting มีหลากหลายรูปแบบ” ประสบการณ์ 1 ปี บิวกิ้นรับงานน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน ความดังไม่ต้องพูดถึง น้อยคนที่จะไม่รู้จักเขาหากพูดถึงวงการบันเทิง ชื่อเสียงไม่ได้อยู่แค่ในบ้านเราเขาโด่งดังไปในระดับเอเชียก็ว่าได้
แมสังกัดเดิม “นาดาวบางกอก” จะเปลี่ยน ไป แต่บิวกิ้นก็เดินหน้าในวงการบันเทิงไม่ขาดช่วง เขามีงานออกมาอย่างต่อเนื่อง “งานคอนเสิร์ตก็จะมีบ้าง การได้มาทำ showbiz นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีของ Billkin Entertainment ที่ได้ทำต่อจากนาดาว ผมว่าเราได้ทำอะไรที่มันเป็นของเราเองจริงจัง” เป็นความในใจของศิลปินเพลงน้องใหม่ที่โด่งดังมาจากงานละครก่อนจะก้าวสู่การเป็นนักร้องเต็มตัว การได้มาทำค่ายต่อเนื่องของตัวเองทำให้เขาสามารถต่อยอดสิ่งที่ทำมาก่อนหน้านี้ในวงการบันเทิงได้ดี “เรารู้สึกว่ามี branding ของตัวเองประมาณหนึ่ง มี asset ของตัวเองขึ้นมาประมาณหนึ่ง ตั้งแต่วันที่นาดาว converse ไปทำอย่างอื่น มันเหมือนเป็นทางบังคับให้เรา เป็น option ว่าต้องเลือกว่าจะทำอะไร” ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะเดินบนเส้นทางของถนนสายบันเทิงต่อไป
บิวกิ้นเล่าว่า ในวันนั้นเขาต้องเลือกว่าจะไปอยู่ค่ายอื่น หรือทำเองโดยหาคนมาเป็นพาร์ตเนอร์ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกที่จะทำเองทั้งหมด “ทำค่ายดูแลตัวเอง ชวนพี่เบล-สุพล (โปรดิวเซอร์) มาทำด้วยกัน ผมว่ามันก็ทำให้เราเรียนรู้หลายอย่าง” คำว่าหลายอย่างของบิวกิ้นหมายถึง การทำค่าย การวางโครงสร้างตัวเองและงานทั้งหมด ซึ่งถือเป็นความโชคดีเพราะตอนที่อยู่นาดาวเขามีโนว์ฮาวของรูปแบบการทำงานอะไรที่ชอบหรือไม่ชอบ เอามาปรับอย่างที่รู้สึกให้มันเหมาะกับตัวเอง “พอเรามีความมั่นใจประมาณหนึ่ง และตัวตนเราไม่ได้เริ่มจากศูนย์ด้วย ก็เลยมีความรู้พอที่จะเสี่ยงมาทำบริษัทดู แต่มันก็มีหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้ใหม่ เช่น เราไม่เคยต้องดีลกับแพลตฟอร์มมาก่อน” เป็นการเรียนรู้ใหม่แต่ไม่ยากเกินไป อยู่ในวิถีที่ปรับตัวได้ รวมถึงงานบัญชีและอะไรต่างๆ “ทุกอย่างเป็นสิ่งใหม่ที่เราต้องทำ เช่น การวาง direction วาง year plan เมื่อก่อนเราไม่ต้องทำ เดี๋ยวนี้เราก็ต้องทำ แต่ก่อนมีอะไรเราก็คิดเอางานไปขายผู้ใหญ่ในค่าย แต่เดี๋ยวนี้เรามีอะไรก็ถกกับพี่เบล คิดแล้วลุยเลย”
วิธีการทำงานแบบใหม่ที่ต้องร่วมตัดสินใจ
ด้วยตัวเองสำหรับบิวกิ้นเขามองว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือ มีอิสระ คล่องตัวมากขึ้น
ในการทำงาน มีความคิดและสามารถทำได้เร็วขึ้น แต่ข้อเสียคือ อาจไม่มีที่ปรึกษาในบางมุม แต่ก็ใช้วิธีกลับไปคุยกับพี่ๆ ก่อนตัดสินใจแทน “สิ่งเหล่านี้มันก็ทำให้เราเติบโตขึ้นมากเหมือนกัน ในวันที่เรามาทำเอง วันที่มาเป็นผู้บริหารด้วยทำให้เราเข้าใจพี่ๆ แอดมินสมัยที่เราอยู่ค่ายมากขึ้น” เขาบอกเล่าอย่างเข้าใจในหลายๆ เรื่อง เช่น เข้าใจแล้วว่าในบางครั้งที่ต้องไปทำอะไรที่ไม่อยากทำมันคือสิ่งที่ต้องทำ รู้แล้วว่าคือความจำเป็นเพื่อให้งานสมบูรณ์
“พูดง่ายๆ ก็คือ ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นในแง่ของการลงทุนหรือการดีลหลังบ้าน เรื่องลิขสิทธิ์ เรื่องการจัดการต่างๆ การจัดการสิทธิ์ การที่ต้องมานั่งทำสัญญากับคนเขียนเนื้อ การต้องมาดีลกับแพลตฟอร์ม” สิ่งต่างๆ เหล่านี้บิวกิ้นได้เรียนรู้เมื่อมาทำบริษัท เขารับรู้ว่าสิ่งต่างๆ มีรายละเอียดมากมาย “ขนาดดูแลตัวเอง เป็นศิลปินคนเดียวยังเยอะมากขนาดนี้” พูดเสร็จก็หัวเราะ เป็นอารมณ์ของการแสดงออกซึ่งความเข้าใจในเหตุการณ์และเรื่องราวที่ดำเนินไปบนเส้นทางธุรกิจของศิลปินและวงการบันเทิง
บิวกิ้นเรียนรู้จากงานที่ทำและขอบข่ายความรับผิดชอบที่มีเพิ่มขึ้นในฐานะผู้บริหารบริษัท “ผมว่ามันทำให้งานของเราคมมองงานคมมากขึ้น เพราะเราไม่ได้มองงานในมุมของการเป็นศิลปินอย่างเดียว แต่มองในฐานะเป็นผู้บริหารจัดการศิลปินด้วย” คำบอกเล่าเขาเหมือนตอกย้ำว่าสิ่งที่ทำมีส่วนทำให้เขาเติบโตขึ้นไปอีกขั้นในฐานะผู้บริหารค่ายบันเทิง ด้วยการจัดการและการวางก้าวเดินของศิลปินว่าจะบริหารจัดการและก้าวเดินไปทางใด เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่สำคัญทำให้เขามองเห็นองคาพยพในภาพรวม
“ในมุมศิลปินเราก็ทำ และก็ได้มองเห็นว่าค่ายจะต้องทำอะไร อย่างไร บางครั้งมันอาจ
จะไม่ได้เป็นอย่างที่ศิลปินมอง อาจมีมากกว่านั้น เราก็เข้าใจมากขึ้น” เขาอธิบายและว่า การลุกขึ้นมาทำบริษัทด้วยทำให้บาลานซ์ดีขึ้น ช่วยให้เรียนรู้งานของทั้งสองด้าน ทั้งในความเป็นศิลปินและในความเป็นค่าย ทำให้เข้าใจอะไรๆ ดีขึ้น และสิ่งต่างๆ เหล่านี้ตอบโจทย์ชีวิตเขาได้ชัดเจน “ช่วงแรกอาจมีความกังวล เพราะว่าเราไม่มั่นใจ เราไม่รู้ แต่พอสักระยะหนึ่งที่เราเข้าใจแล้ว เรารู้แล้ว ทุกอย่างมันก็ง่าย พอทำแล้วมันไปได้ก็เริ่มสนุก เห็นโอกาสต่างๆ มากมาย และเริ่มสนุกกับมัน”
วางแผนปีต่อปี
บนเส้นทางของการเติบโต วันนี้บิวกิ้นเป็นนักแสดง นักร้อง พรีเซ็นเตอร์ และยังเป็นนักธุรกิจด้วย หลายคนคงคิดเหมือนกันเขามีแพลนในชีวิตอย่างไร คำตอบที่ได้ทำให้เราเห็นภาพของคนรุ่นใหม่ชัดเจนขึ้นเมื่อเขาบอกว่า “แผนงานพูดตามตรงเลยนะครับ วางไว้ปีต่อปี เพราะมัน base on ตัวผมมากๆ วางปีนี้ต้องเผื่อไปสำหรับปีหน้าในสิ่งที่เราอยากทำ เพราะผมมองการทำงาน entertainment เป็นเรื่องโอกาสของช่วงนั้นๆ” เป็นอีกวิธีคิดที่ต่างไปจากนักธุรกิจทั่วไปที่มักวางแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว แต่สำหรับบิวกิ้นเขาใช้ตัวเองเป็นเซ็นเตอร์และบอกว่าในหลายปีที่ผ่านมาเขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนที่แพลนไว้สักปี
“เป็นเรื่องของ emotional lead นิดหนึ่งด้วย ถ้าเราไม่รู้สึกกับเรื่องไหนอย่างเข้มข้น มันก็จะไม่อิน งานศิลปินต้องมีตัวตน มีความรู้สึกร่วม และจังหวะโอกาสที่เหมาะสม” เขายังอธิบายด้วยว่า ที่มองแบบนี้เพราะเรื่องของศิลปินเป็นไดเร็กชั่นของตัวตนและเป็นแพสชั่นที่อยู่ในนั้น ด้วยเหตุนี้ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาเขาแพลนบางเรื่องราวไว้แต่ก็ไม่เป็นแบบนั้นเสียทีเดียว บางอย่างมาได้ไกลกว่าที่แพลนไว้ก็มี หลายงานที่เขาไม่ได้คาดหวังแต่เป็นโอกาสที่ดีที่ได้เข้ามาก็มีไม่น้อย
ตัวอย่างเช่น งานโชว์ต่างประเทศระยะหลังมีเข้ามามากขึ้น จากจุดเริ่มต้นงานแรกที่เทศกาลดนตรี Summer Sonic เดินทางไปโชว์ปีที่แล้วกับ Universal Music ที่มาชวนให้ไปโชว์ ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงคาบเกี่ยวที่บิวกิ้นยังอยู่กับค่ายนาดาวบางกอก แต่ด้วยระยะเวลาเมื่อถึงตอนที่เดินทางไปจริงๆ กลายเป็นบิลกิ้น เอนเตอร์เทนเม้นท์แล้ว เลยได้ทำโชว์เองอย่างเต็มตัว ในพาร์ตของการแสดงต่างๆ ซึ่งก็เป็นบิลกิ้น เอนเตอร์-เทนเม้นท์ที่ทำเองทั้งหมด “ตอนที่ได้เข้ามาเป็นนักแสดง ตอนนั้นก็เริ่มสานฝันให้เห็นโอกาสที่เข้ามา มันก็จะ ค่อยๆ สร้างความฝันต่อยอดมาจากโอกาสที่เราได้มากกว่า ความฝันมาจากความจริง ที่ได้ทำ แล้วก็ได้สัมผัสแล้วก็ได้คิดต่อ”
บิวกิ้นบอกว่า เมื่อเขามีโอกาสก็มักจะคิดว่าจะทำอะไรต่อไป คิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ได้เกิดขึ้นแบบความฝันเลื่อนลอยหรือเพ้อฝัน เขาไม่ใช่คนแนวนั้น ว่าแล้วก็มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า เมื่อเล่าถึงพื้นฐานด้านธุรกิจ ซึ่งเขาให้ความสำคัญกับธุรกิจเนื่องจากเป็นครอบครัวคนจีน ครอบครัวทำค้าขายอยู่แล้ว ทำให้เขามีความคิดต่อยอดในเชิงธุรกิจด้วย เขายอมรับว่า ครอบครัวอยากให้เขาทำธุรกิจทำมาค้าขายด้วยเช่นกัน บิวกิ้นไม่ได้มีแนวคิดต่อต้านอะไร ดังนั้นเขาจึงเลือกเรียนในสายธุรกิจ “พอเรียนอะไรก็ได้รับชุดความคิดนั้นๆ เข้ามาอยู่ในหัวเราก็อยากจะทำให้มันสำเร็จ พอเรามีโอกาสได้มาทำก็อยากให้มันสำเร็จเหมือนที่ตั้งใจไว้” เป็นความมุ่งมั่นที่มีจุดเริ่มต้นมาจากครอบครัวนั่นเอง
ครอบครัวของบิวกิ้นทำธุรกิจส่งออกงานประติมากรรมทองเหลือง แต่ทางบ้านไม่ได้อยากให้ทุกคนมามุ่งมั่นกับสิ่งที่ทำอยู่เดิม อยากให้แต่ละคนมองหาโอกาสของตัวเอง สำหรับบิวกิ้นโอกาสในวงการบันเทิงทำให้เขาต่อยอดไปสู่ธุรกิจอื่นๆ ได้สะดวกขึ้น “ที่บ้านก็ไม่ได้อยากให้ทุกคนมาจบอยู่ที่ตรงนี้ ทุกคนมีพี่น้องลูกหลานหลายคนอยากให้แต่ละคนหาแนวทางหาช่องทางธุรกิจของตัวเองมากกว่า มีไอเดีย มี initiation ใหม่ๆ” นั่นคือโจทย์แรกที่ได้มาจากครอบครัวที่ให้คำมั่นกับเขาว่า ถึงอย่างไรครอบครัวก็จะซัพพอร์ตอย่างเต็มที่
วันนี้จึงได้เห็นบิวกิ้นขยายธุรกิจใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องเพราะมองเห็นโอกาส และมีพี่เลี้ยงที่ดีจากครอบครัว จะเห็นว่าเขาทำอะไรหลายอย่างมาก ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า ทุกอย่างที่ทำเขาเอาใจลงไปด้วยทุกครั้ง ใส่ใจและเต็มที่กับทุกอย่างที่ทำ “เอาใจใส่อย่างเต็มที่ ทำให้เรามี inspire ใหม่ๆ เข้าไปในงานได้มากขึ้น เพราะผมมองว่ามันไม่ใช่แค่งาน มันเป็นความตั้งใจ เป็นความมุ่งมั่นเป็นสิ่งที่เราทุ่มเท”
คำว่าทุ่มเทสำหรับศิลปินหนุ่มคนนี้ใช้ได้ดีเลยทีเดียว เพราะเจ้าตัวบอกว่า “จริงๆ แล้วผมเป็นคนที่แทบจะไม่มีวันหยุดเลย ปีๆ หนึ่งถ้าเป็นงานที่เรารัก เป็นสิ่งที่เราทำแล้วรู้สึกเติมเต็มก็ทำเต็มที่” เขาบอกด้วยว่า งานทำให้ชีวิตมีความสุข ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องหากิจกรรมอื่นๆ มาเติมในวันหยุด เช่น เสาร์-อาทิตย์ไม่ต้องไปทำอย่างอื่นเพื่อให้เติมเต็มความรู้สึก งานมันเติมเต็มสิ่งเหล่านั้นหมดแล้ว เติมเต็มกับความต้องการจริงๆ“อย่างเราไปโชว์ตัวทำงาน 1 วัน มีความสุขใช้เวลาเต็มที่ แต่ก็ยังมีเวลามาประชุมงานอื่นๆ ได้อีก เพราะอยากอัปเดตสิ่งที่ทำมีเวลาก็ทำได้อีก ได้ทำสิ่งที่ชอบก็มีความสุขสนุกกับสิ่งที่ได้ทำ ได้คิด ได้สร้าง” ดูเหมือนเขาใส่ใจและตั้งใจกับทุกอย่างที่ทำจริงๆ
บิวกิ้นบอกว่า เขาสนุกที่ได้ออกแบบการตลาด แปลกใหม่ให้กับสินค้าที่เขาทำ ถามว่า มีวันหยุดบ้างไหม เขาตอบว่า ที่จริงก็มีวันหยุดบ้าง 1-2 วัน ส่วนใหญ่ก็อยู่บ้าน แต่สุดท้ายวันหยุดก็จะแทรกอะไรที่เกี่ยวกับงานไปบ้าง เช่น แทรกการประชุม แทรกอะไรเข้าไป ซึ่งเป็นความสมัครใจ ความเต็มใจ และความชื่นชอบเป็นหลัก เขาเล่าว่า บางครั้งก็คิดว่าตัวเองไม่ได้ทำเรื่องนี้มานานแล้ว อยากจะหาอะไรบางอย่างทำก็โยนประเด็นไปให้ทีมงานช่วยคิด พอทุกคนช่วยคิดก็ได้เสริมกัน มันก็เหมือนกับไม่ได้หยุด แต่ว่าเป็นสิ่งที่เขาอยากจะเพิ่มเข้าไปให้มันมีความเคลื่อนไหว มีกิจกรรม มีความคิดต่อเนื่องในสิ่งที่คิดว่าจะทำและทำต่อไป
“เหมือนว่ามันว่างเราก็จะหาอะไรเข้ามาเติม หา research นี้นานมาก เมื่อว่างก็โยนเข้าไปแล้วก็ feedback เรื่องนี้เรื่องนั้น กลับเข้ามาก็เหมือนกัน คือออกไอเดียกับระดมความเห็นต่างๆ ในเรื่องที่เราจะทำไปสักระยะหนึ่ง” ด้วยเหตุนี้คนจะเห็นว่าเขามีความเคลื่อนไหวตลอด เพราะมีการปรับชีวิตในแง่มุมต่างๆ เรื่อยมา งานคอนเสิร์ตหลายเวทีทั้งในไทยและต่างประเทศ งานพรีเซ็นเตอร์มากกว่า 20 แบรนด์ และงานแสดง งานโชว์ตัวต่างๆ ไม่น่าแปลกที่บิวกิ้นจะมีคิวงานแน่นและทำงานเยอะมาก แต่เขาบอกว่า ทีมงานที่มีอยู่ก็ไม่ได้มากอย่างที่คิด เป็นคอมแพ็กทีมมากกว่า มีแค่ 6 คน เวลามีอีเวนต์หรือกิจกรรมใหญ่ๆ ก็ใช้การจ้างทีมจากภายนอกมาเสริมเป็นงานๆ ไป แล้วแต่ความจำเป็น และความต้องการของแต่ละโปรเจกต์ไป
ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกหลายเรื่องที่บิวกิ้นบอกเล่าภายในเวลาอันจำกัด เขาดูเป็นคนอารมณ์ดี ขี้เล่น และใจเย็นพอสมควร ต่างกับสไตล์ของเด็กยุคใหม่ที่ส่วนใหญ่มักใจร้อน รอไม่ค่อยได้ แต่สำหรับศิลปินขวัญใจมวลชนคนนี้ดูง่ายๆ ร่าเริง และเป็นกันเอง เขายังพูดติดตลกตอนท้ายของการสัมภาษณ์ว่า “ผมดีใจมากเลยได้สัมภาษณ์ Forbes ดูเป็น Warren Buffett” ว่าแล้วก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ไม่แน่นะอีกหลายปีข้างหน้าธุรกิจของหนุ่มน้อยคนนี้อาจก้าวไกลไปกับเทรนด์ sustainability ได้เป็นอย่างดีใครจะรู้
อ่านเพิ่่มเติม : Athletic Brewing เบียร์ไร้แอลกอฮอล์ที่ถูกใจนักดื่ม