ใบเบิกทางธุรกิจจากการเล็งเห็นช่องว่างสร้างความแตกต่างในธุรกิจน้ำมันหม้อแปลงสู่การจับจังหวะพัฒนาผลิตภัณฑ์หล่อลื่นครบวงจร ด้วยคุณภาพและชื่อเสียงที่สั่งสมทั่วโลกเป็นอาวุธเสริมความแข็งแกร่งอาณาจักรหมื่นล้านให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระดับภูมิภาค
ระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษของยักษ์ใหญ่ด้านผลิตภัณฑ์หล่อลื่นแบบครบวงจรของไทยที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แบรนด์ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น เช่น OR, ESSO, BCP, Chevron Thailand, ENEOS และ PETRONAS
ด้วยส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างประสบการณ์ของผู้ก่อตั้งธุรกิจและการพัฒนานวัตกรรมตอบสนองความต้องการในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดของประเทศในผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น (Lubricant)
น้ำมันผสมยาง และน้ำมันหม้อแปลง พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอาเซียน
“ช่วงทำงานที่เอสโซ่ประเทศไทยแผนก Engineer และฝ่ายขาย ผมเรียนต่อ MBA ภาคค่ำของธรรมศาสตร์ด้วย โดยทำงานที่เอสโซ่ประมาณ 7-8 ปีจึงลาออกมาตั้งบริษัทกับพาร์ตเนอร์ประมาณ 2 ปีและตัดสินใจออก เพื่อเริ่มต้นธุรกิจใหม่กับดร.ปวเรศ บุญตานนท์ในปี 2532 โดยเราฝากความหวังไว้กับความขยันและความมุ่งมั่นที่จะ drive ธุรกิจให้ไปรอด
ซึ่งผมจะดูแลด้านการตลาด ส่วนดร.ปวเรศดูแลด้าน manufacturing เนื่องจากเรามองเห็นโอกาสธุรกิจเมื่อ 30-40 ปีที่แล้วในผลิตภัณฑ์น้ำมันหม้อแปลงที่เป็น niche market และมี volume สูง รวมทั้ง เรามีศักยภาพการเจรจานำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้เราเริ่มจากการติดต่ออังกฤษนำน้ำมันหม้อแปลงสำเร็จรูปขายโรงงาน”
สินธุ์ ครองพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการก่อตั้งบริษัทร่วมกับปวเรศ บุญตานนท์ โดยผสมผสานความรู้ปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พร้อมปรับประสบการณ์ทำงานในบริษัทธุรกิจก๊าซธรรมชาติและน้ำมันปิโตรเลียมชั้นนำของประเทศเริ่มต้นดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายน้ำมันหม้อแปลง (Transformer Oil) แบรนด์ Buchanan จากประเทศอังกฤษในเดือนกรกฎาคม 2532
“สมัยนั้นการทำน้ำมันหม้อแปลงจะใส่ถัง 200 ลิตร ซึ่งจะมีความสูญเสียเป็นเศษน้ำมันหลงเหลืออยู่ เมื่อรวมกันก็เป็นจำนวนไม่น้อย โดยเราเป็นบริษัทแรกๆที่ทำให้ลูกค้าเปลี่ยนวิธีการใช้ถัง 200 ลิตรที่สั่งกันเป็น 100 ถังสั่งเข้ามาเป็น ISO Tank ตู้เดียวและใช้ทั้งเดือน ซึ่งเราจะลงทุนทำคลังเก็บให้เขาและสอนเทคนิคด้าน purify น้ำมันช่วยให้ลดต้นทุนลงได้ ทำให้เราประสบความสำเร็จในธุรกิจน้ำมันหม้อแปลง”
สินธุ์ยังเล็งเห็นโอกาสขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น จาระบี และผลิตภัณฑ์พิเศษ เช่น น้ำมันยาง น้ำมันหม้อแปลง เป็นต้น
โดยในปี 2533 ได้จัดตั้งโรงงานผลิตน้ำมันหล่อลื่นแห่งแรกสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น การผลิตยางรถยนต์ และขยายธุรกิจการให้บริการที่เกี่ยวข้อง ด้วยการให้บริการศูนย์กระจายน้ำมันเชื้อเพลิงในปี 2537
นอกจากนั้น บริษัทยังเปิดดำเนินการให้บริการศูนย์กระจายสินค้าที่จังหวัดสมุทรสาครในปี 2559 เพื่อขยายขีดความสามารถในการให้บริการการจัดเก็บผลิตภัณฑ์หล่อลื่นสำเร็จรูป และดำเนินการจัดส่งให้ลูกค้า โดยสามารถรอบรับการเก็บสินค้าได้หลากหลายประเภทตามความต้องการของลูกค้า
ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น จาระบี น้ำมันยาง น้ำมันหม้อแปลงและสารเติมแต่ง พร้อมทั้งให้บริการด้านอื่นๆ เช่น การเปลี่ยนถ่ายบรรจุภัณฑ์สำเร็จรูป เปลี่ยนฉลากบนสินค้า และให้บริการเช่าพื้นที่สำหรับสำนักงานของลูกค้า
สินธุ์กล่าวถึงการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปัจจุบันที่สามารถให้บริการครอบคลุมผลิตภัณฑ์หล่อลื่นครบวงจรตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Value Chain) ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิตและการบรรจุผลิตภัณฑ์ การให้บริการศูนย์กระจายน้ำมันเชื้อเพลิง การจัดเก็บ รวมทั้งการให้บริการศูนย์กระจายสินค้าและการให้บริการจัดการด้านโลจิสติกส์
นอกจากนั้น บริษัทยังเป็นตัวแทนจำหน่ายสารเติมแต่ง (Additive) ของ Chevron Oronite ในประเทศไทย กัมพูชา และสปป. ลาว และเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวของ Authentix ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการตรวจสอบและรับรองสินค้าระดับสากลในประเทศไทย
รวมทั้งดำเนินธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวข้อง เช่น การให้บริการคลังน้ำมันเชื้อเพลิงและขนถ่ายน้ำมันผ่านศูนย์กระจายน้ำมันเชื้อเพลิงของบริษัทแก่ลูกค้า เช่น OR, ESSO, BCP และ Chevron Thailand พร้อมให้บริการศูนย์กระจายสินค้า และให้บริการจัดการด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจรครอบคลุมทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ
คว้าโอกาสขยายอาณาจักร
สินธุ์เดินหน้าขยายอาณาจักรธุรกิจในต่างประเทศ ด้วยการสร้างฐานการผลิตที่นิคมอุตสาหกรรมพิเศษติลาวา โดยเป็นทำเลยุทธศาสตร์ที่สามารถเดินทางได้สะดวกและมีท่าเรือน้ำลึกสำหรับการนำเข้าและส่งออกสินค้าของเมียนมา
“การลงทุนต่างประเทศครั้งแรกของเราที่เมียนมาประมาณ 150 ล้านร่วมกับพารท์เนอร์เมียนมา เพราะเราเล็งเห็นโอกาสจากการเปิดประเทศและการเติบโตอย่างรวดเร็ว รวมถึงด้านโลจิสติกส์ไปยังอินเดีย บังคลาเทศ และตะวันออกกลาง ทำให้ต้นทุนการขนส่งดีขึ้น
ซึ่งเรายังไม่มีแผนลงทุนผลิตน้ำมันหล่อลื่นในประเทศอื่น แต่จะขยายในแพลตฟอร์มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์มหรือโลจิสติกส์ เนื่องจากเรามองว่า กำลังการผลิตน้ำมันหล่อลื่นของเรามากเพียงพอสำหรับการเติบโตอีก 5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะถ้าระดมทุนและพัฒนาเครื่องจักรก็จะเพิ่ม capacity ได้ 20%
เรายังมีการขยายฐานลูกค้าส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องครอบคลุมเกือบทั้งหมดในเอเชียแปซิฟิก และเริ่มขยายไปยังแอฟริกาใต้มากขึ้น ซึ่งโอกาสเติบโตในต่างประเทศยังมีอีกมากอย่างในเอเชียแปซิฟิกที่มี market research ว่า
น้ำมันหล่อลื่นปีที่แล้วปราณ 3 พันล้านลิตรและจะเติบโตถึง 4 พันล้านลิตรใน 5 ปี โดยแชร์ของเราแค่ 20% ของยอดขายบริษัทเท่านั้นและฐานการผลิตในประเทศของเราพร้อมทุกด้าน ด้วยมาตรฐานระดับโลกและ economy of scale ทำให้บริษัทต่างชาติจะมองเราเป็นอันดับแรก”
สินธุ์ย้ำความมั่นใจในการรักษาความเป็นผู้นำตลาด ด้วยกำลังการผลิตน้ำมันหล่อลื่น 212 ล้านลิตร น้ำมันผสมยาง 44 ล้านลิตร น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้า 25 ล้านลิตร และจาระบี 27,548 ตัน (ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565) โดยมีฐานการผลิตขนาดใหญ่อยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งหลักทั้งทางบกและทางน้ำของประเทศ ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนด้านการขนส่งวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมถึงกระบวนการผลิตและระบบการบริหารจัดการที่ได้มาตรฐานระดับสากล ไม่ว่าจะเป็น ISO9001, ISO14001 และ ISO45001 ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพการผลิตและการรับประกันคุณภาพในทุกขั้นตอน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าในด้านคุณภาพของทุกผลิตภัณฑ์
ขณะเดียวกันบริษัทยังลงทุนห้องปฏิบัติการและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญพัฒนานวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงและสอดรับเทรนด์อนาคต เช่น ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) การพัฒนาน้ำมันหล่อลื่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ น้ำมันผสมยางชีวภาพ (Bio Rubber Process Oil) และน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้า (Bio Transformer Oil) จากน้ำมันปาล์ม
โดยมีการบูรณาการความร่วมมือกันพัฒนางานวิจัยสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิง ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นต้น
“เราสนใจการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯและคุยกับหุ้นส่วนมานานแล้ว แต่ยังไม่ตกผลึกจนกระทั่งธุรกิจเติบโตและต้องกระจายการลงทุนในธุรกิจหลายประเภท ทำให้เราคิดว่าถึงเวลาต้องปรับเปลี่ยนลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เพื่อให้เราไปได้กว้างขึ้น พร้อมปรับโลโก้บริษัทให้ทันสมัยสอดคล้องกับเทรนด์ปัจจุบัน
และสื่อสารองค์กรให้ประชาชนรู้จักเรามากขึ้นว่า เราไม่ใช่ผู้ผลิตน้ำมันหล่อลื่นที่อยู่เบื้องหลังเท่านั้น แต่ในอนาคตจะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในหลายธุรกิจ”
สินธุ์กล่าวถึงการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพื่อลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ นอกจากนั้น บริษัทยังระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจเกี่ยวเนื่องและส่งเสริมธุรกิจหลักของบริษัทที่สอดคล้องกับกระแสการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
ขณะเดียวกันสินธุ์ยังให้ความสนใจการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับเมกะเทรนด์อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นที่มีมูลค่าสูง เช่น จาระบีสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร น้ำมันหล่อลื่นสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร แอลกอฮอลล์ และวัสดุสำหรับทำความสะอาด
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในรถยนต์ที่ใช้พลังงานสำหรับไฟฟ้า (EV) เช่น ผลิตภัณฑ์หล่อเย็นสำหรับแบตเตอรี่ น้ำมันเกียร์สำหรับรถไฟฟ้า และจาระบีสำหรับรถไฟฟ้า เป็นต้น
ผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำมันหม้อแปลงชีวภาพ น้ำมันยางชีวภาพ ยางมะตอยที่ผลิตจากน้ำ น้ำยาบำบัดไอเสีย เป็นต้น และผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมันอเนกประสงค์ ซึ่งเป็นการขยายธุรกิจไปยังผลิตภัณฑ์ที่มีการจำหน่ายให้ผู้บริโภคโดยตรง
“ทีมงานของเราประมาณ 600 คนยังเพียงพอสำหรับธุรกิจหลักที่เรามีการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น โดยอาจจะเพิ่มพนักงานในส่วนของการทำแพลตฟอร์มและการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ซึ่งแนวโน้มในอนาคตน้ำมันหล่อลื่นยังมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง
แม้จะมีเทรนด์อีวีที่ทำให้รถยนต์น้ำมันชะลอตัวลง แต่ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นยานยนต์ก็ยังอยู่ และเรายังมีธุรกิจน้ำมันหม้อแปลง น้ำมันยาง รวมทั้ง การกระจายธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ”
ภายใต้ความมุ่งมั่นสร้างการเติบโตทางธุรกิจให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต สินธุ์เล็งเห็นความสำคัญในการทำงานร่วมกันเป็นทีมและพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถในทุกมิติ พร้อมขับเคลื่อนอาณาจักรสู่เป้าหมายการเติบโตร่วมกัน
“ส่วนตัวจะให้โอกาสทีมงานแสดงความคิดเห็นเสมอ ด้วยความเชื่อมั่นในการทำงานเป็นทีมและบุคลากรสำคัญเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตได้ ผมคนเดียวไม่สามารถทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเราต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ
ซึ่งแต่ละปีเราจะมีการวางแผนเทรนนิ่งหลักสูตรที่สอดคล้องกับทิศทางหรือเป้าหมายธุรกิจ รวมทั้ง เราอยู่กันแบบครอบครัว เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น พนักงานทุกคนก็ต้องอยู่อย่างมีความสุข”
ภาพ : วรัชญ์ แพทยานันท์
อ่านเพิ่มเติม: นพ.สุนทร อันตรเสน บนเส้นทางแห่งการให้ที่ไร้พรมแดน