"โรจูคิส" เปิดกลยุทธ์ก้าวสู่ True Health and Beauty Company ด้วยเป้าหมายรายได้แตะ 3 พันล้านบาท ภายในปี 2567 พร้อมเผยช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น IPO ที่ 8.50 – 9.00 บาทต่อหุ้น
วรวรรณ ไชยกำเนิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KISS ผู้พัฒนานวัตกรรมและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพภายใต้แบรนด์ Rojukiss, PhDerma, Best Korea, Wonder Herb และ Sis2Sis เปิดเผยว่า บริษัทได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ 4 ราย เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม ประกอบด้วย บริษัท หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จํากัด บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด สำหรับในปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยกำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นที่ 8.50 – 9.00 บาทต่อหุ้น และจะเปิดให้นักลงทุนได้จองซื้อที่ราคา 9.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น อย่างไรตามหากราคาเสนอขายสุดท้าย ต่ำกว่าราคาจองซื้อ จะดำเนินการคืนเงินจองซื้อแก่นักลงทุนรายย่อยต่อไป และคาดว่าจะนำหุ้น KISS เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์นี้ “การระดมทุนครั้งนี้ ทำให้ KISS เพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับผลิตภัณฑ์และแบรนด์ใหม่ที่เข้าถึงง่ายและตอบโจทย์วิถีชีวิตคนเมือง ครอบคลุมกลุ่มความงามและสุขภาพ (Health & Beauty) รวมถึงมุ่งขยายช่องทางการขายใหม่ๆ พัฒนาเทคโนโลยีด้านความงาม เพื่อสร้างฐานข้อมูลลูกค้าในเชิงลึก รวมถึงการขยายธุรกิจไปยังภูมิภาค ASEAN เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับบริษัทฯ” วรวรรณกล่าวถึงวิสัยทัศน์การก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านความงามและสุขภาพของเอเชีย หรือ True Health and Beauty Company ภายใต้เป้าหมายที่วางไว้จำนวน 3 พันล้านบาทในปี 2567 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 20% ต่อปีนับจากปี 2562 ด้านแผนกลยุทธ์การการขับเคลื่อนธุรกิจแบ่งเป็น 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การขยายธุรกิจให้ครอบคลุมกลุ่มความงามและสุขภาพอย่างครบวงจร (Health & Beauty) ด้วยแผนต่อยอดความแข็งแกร่ง 5 แบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอ โดยจะเพิ่มความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ (Multi-category Brand Portfolio) อย่างครบวงจร รวมถึงออกแบรนด์สินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเติม ภายใต้บรรจุภัณฑ์หลายรูปแบบ (Multi-format packaging) ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจชั้นนำในระดับโลก นอกจากนั้น บริษัทยังวางกลยุทธ์เป็นผู้นำสร้างนวัตกรรมความงามและสุขภาพที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตคนเมือง (Convenience Health & Beauty) ด้วย 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมทั้งการเสริมสร้างความแข็งแกร่งช่องทางจัดจำหน่ายที่หลากหลาย พร้อมเดินหน้าขยายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น ร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าเพื่อสุขภาพและความงาม และขยายช่องทางแบบ Direct-to-Consumer (D2C) ซึ่งล่าสุดได้จับมือร่วมกับ บมจ. จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ขยายช่องทาง Media Commerce โดยร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์แบรนด์ใหม่ และช่องทางจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านทางแพลทฟอร์มสื่อต่างๆ ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ขณะเดียวกันบริษัทยังมุ่งสู่ความเป็นผู้นำในประเทศไทยและขยายธุรกิจไปต่างประเทศ โดยนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์การดำเนินธุรกิจเพื่อความงาม และการมีเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่งมุ่งขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เนื่องจากกลุ่มประเทศดังกล่าวมีแนวโน้มการขยายจำนวนประชากรสูง ซึ่งเมื่อรวมกับประเทศไทยคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนประชากรสูงถึง 571 ล้านคนในปี 2567 จึงมีความต้องการผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพ ส่งผลให้ตลาดเติบโตเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 10% จากเมื่อปี 2562 หรือคิดเป็นมูลค่า 13.2 พันล้านเหรียญ “จุดแข็งของเรา มีกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่แตกต่างและโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ผ่านระบบบริหารจัดการเทียบเท่าบริษัทชั้นนำระดับโลก แต่มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นสูง ภายใต้ทีมผู้บริหารมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ รวมถึงการเป็นบริษัท Asset Light ที่พร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เอื้อต่อการคิดค้นพัฒนานวัตกรรมตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ อีกทั้งยังมีความได้เปรียบในเชิงประสิทธิภาพของนวัตกรรมและต้นทุนจากการมีเครือข่ายพันธมิตรชั้นนำระดับโลก ทำให้เราก้าวกระโดดในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและสุขภาพ และนำธุรกิจก้าวสู่ผู้นำนวัตกรรมความงามและสุขภาพของเอเชีย” ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในปี 2560-2562 บริษัทสามารถสร้างอัตราการเติบโตของยอดขายเฉลี่ย 37.9% ต่อปี และกำไรสุทธิขยายตัวเฉลี่ย 81.8% ต่อปี โดยปี 2562 มียอดขายรวม 1.14 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 190.1 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกของปี 2563 (มกราคม-กันยายน) ทำยอดขายได้ 730.6 ล้านบาท จากการขยายพอร์ตสินค้าเข้าสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อความงามและสุขภาพ และการนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวม 17 รายการ และมีกำไรสุทธิ 139.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.2% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แบรนด์ Rojukiss มีส่วนแบ่งการตลาดในไตรมาส 3/2563 เพิ่มขึ้นจาก 8.8% เป็น 12.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนในช่องทางร้านสะดวกซื้อ (ตามข้อมูลของ The Nielsen Company) อ่านเพิ่มเติม: สภาตลาดทุนไทยลุ้นฉีดวัคซีนหนุน “หุ้นฟื้นตัว”ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine