งานวิจัยจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Coldwell Banker แสดงให้เห็นว่า คนกลุ่ม "มิลเลนเนียล" จะครองความมั่งคั่งมากกว่าในปัจจุบันถึง 5 เท่า เนื่องจากเป็นกลุ่มที่จะได้รับมรดกมากกว่า 68 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2030 จากพ่อแม่ที่เป็นคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่านี่เป็นการส่งต่อความมั่งคั่งครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในยุคปัจจุบัน
ทั้งนี้ เป็นที่รู้ดีว่าคนเจเนอเรชั่นหลังยุคเบบี้บูมเมอร์ต้องต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ที่คนรุ่นพ่อแม่หรือคนรุ่นปู่ย่าตายายไม่ได้พานพบมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นหนี้การศึกษาที่เป็นภาระทางการเงิน, ราคาอสังหาริมทรัพย์, ค่าประกันที่สูง และความท้าทายในการหางานที่ได้ค่าตอบแทนดี ปัญหาเหล่านี้และปัญหาอื่นๆ ทำให้ชีวิตของคน มิลเลนเนียล ยากขึ้นกว่าคนรุ่นพ่อแม่ อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าความมั่งคั่งของพวกเขาจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น และพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ร่ำรวยที่สุดตลอดกาล
ข้อมูลจาก WealthEngine ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยของ Coldwell Banker ระบุว่า ประมาณการว่าจะมีเศรษฐีมิลเลนเนียลราว 6.18 แสนคน โดยเศรษฐีมิลเลนเนียลเหล่านี้คิดเป็น 2% ของประชากรเศรษฐีสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ เศรษฐีมิลเลนเนียลส่วนใหญ่จะมีสินทรัพย์อยู่ระหว่าง 1-2.49 ล้านเหรียญ และมีอายุอยู่ในช่วง 34-37 ปี
เนื่องจากมรดกที่ได้มีทั้งกองทรัสต์และการวางแผนลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ชาวมิลเลนเนียลจะรวยขึ้นอย่างต่อเนื่อง และร่ำรวยมากในเร็วๆ นี้ และเนื่องจากคนเจเนอเรชั่น มิลเลนเนียล มีขนาดเล็กกว่าชาวเบเบี้บูมเมอร์ ทำให้ความมั่งคั่งของชาวมิลเลนเนียลจะกระจุกตัวมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่เท่าเทียมกันของความมั่งคั่ง
รุ่นพ่อแม่ซึ่งเป็นชาวเบบี้บูมเมอร์เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีทรัพย์สินมหาศาล หลายคนได้รับผลประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ทำให้ได้งานที่มั่นคงปลอดภัยและได้รับค่าตอบแทนดี นอกจากนี้ เบบี้บูมเมอร์ยังได้ประโยชน์จากตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้นและกำไรจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทำให้บ้านของพวกเขามีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
“ความแตกต่างระหว่างเศรษฐีในช่วงยุคต้นทศวรรษที่ 1980 และเศรษฐีที่ถูกสร้างขึ้นในวันนี้ คือเศรษฐีหลายคนในยุคปัจจุบันได้รับทรัพย์สินเพิ่มเติมจากพ่อแม่ยุคเบบี้บูมเมอร์ ผู้ที่ถือเป็นรุ่นที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์” รายงานของ Coldwell Banker ระบุ
อย่างไรก็ตาม การส่งมอบมรดกอาจไม่ราบรื่นนักสำหรับคนทั้งสองรุ่น เพราะในหลายปีที่ผ่านมา มูลค่าหุ้น, พันธบัตร และอสังหาริมทรัพย์มีการเติบโตอย่างมาก ความปลอดภัยในการทำงานและความก้าวหน้าในอาชีพได้รับการยกระดับขึ้นเพื่อชาวเบบี้บูมเมอร์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเทรนด์นี้จะคงอยู่ตลอดไป เนื่องจากมีแนวโน้มมากว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรตลาด ด้วยความวิตกกังวลถึงความยั่งยืนของความมั่งคั่งของพวกเขา ชาวเบบี้บูมเมอร์อาจเลือกอยู่กับงานของเขาให้นานขึ้น และครองทรัพย์สินไปเรื่อยๆ แทนที่จะมอบให้ทายาทในตอนที่ตนยังมีชีวิตอยู่
ขณะที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), หุ่นยนต์, การแข่งขันในระดับโลกที่รุนแรง และการย้ายตำแหน่งงานไปยังประเทศอื่นๆ อาจส่งผลกระทบทางลบต่อความมั่นคงของงานและความคล่องตัวในการทำงานของชาวเบบี้บูมเมอร์ ซึ่งทำให้มรดกที่ลูกหลานจะได้รับนั้นลดลง
ไม่เพียงเท่านั้น ค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการดูแลสุขภาพช่วงบั้นปลายชีวิตยังสามารถลดทอนความมั่งคั่งที่ชาวเบบี้บูมเมอร์สะสมไว้ได้อีกด้วย นอกจากนี้ ภาษีที่ไม่เท่ากันในแต่ละรัฐยังอาจทำให้มรดกลดลงได้ ขณะที่ผู้รับมรดกอาจต้องกังวลกับการจัดการมรดกซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แม้การมีเงินก้อนโตเข้ามาจะเป็นสิ่งดี แต่การจัดการให้ดีเป็นสิ่งที่ยาก ซับซ้อน และมีความเสี่ยง
ท้ายที่สุด การส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่นอันน่าทึ่งนี้จะเปลี่ยนชีวิตและความมั่งคั่งให้กับชาวมิลเลนเนียลจำนวนมาก และยังมีผลกระทบระลอกใหญ่ต่อเศรษฐกิจด้วย
อ่านเพิ่มเติม- บริหาร ‘ทรัพย์สินครอบครัว’ ส่งต่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน
- กฎหมายภาษีการรับมรดกตอบโจทย์ประเทศจริงหรือ?
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine