อินโดรามา เวนเจอร์ส หรือ IVL เปิดตัวเลขผลประกอบการกำไรหลักสุทธิเติบโตขึ้นอยู่ที่ 82 ล้านเหรียญจากความต้องการ PET เชื่อธุรกิจเติบโตหลังปลดล็อคดาวน์ และราคาน้ำมันดิบฟื้นตัว
อาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส หรือ IVL เปิดเผยรายงานกำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Core EBITDA) อยู่ที่ 305 ล้านเหรียญสหรัฐ และกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน จำนวน 300 ล้านเหรียญฯ กำไรหลักสุทธิเติบโตขึ้นอยู่ที่ 82 ล้านเหรียญฯ จาก 50 ล้านเหรียญฯในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 ขณะที่สภาพคล่องของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูง โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 0.8 พันล้านเหรียญฯ และมีเครดิตที่ยังไม่ได้ใช้อีกจำนวน 2 พันล้านเหรียญฯ โดยกำไรหลักจากการดำเนินงานตามปกติต่อหุ้น (Core EPS) อยู่ที่ 0.43 บาทต่อหุ้น หรือเติบโตจาก 0.25 บาทต่อหุ้นในไตรมาสแรก ซึ่งผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ได้รับการขับเคลื่อนจากความต้องการ PET ที่แข็งแกร่ง อัตรากำไรของธุรกิจ Integrated PET ที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนแปรสภาพที่ลดลง ปริมาณความต้องการเส้นใยเพื่อสุขอนามัยที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการกลับสู่สภาพปกติของการปิดชั่วคราวในธุรกิจ PO/MTBE ในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ของบริษัทยังคงได้รับผลกระทบทางลบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง ส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรของธุรกิจ MTBE และ Integrated EG เนื่องจากการสูญเสียความได้เปรียบของ shale gas เมื่อเทียบกับผู้ผลิตที่ใช้แนฟทา ธุรกิจเส้นใยในกลุ่มยานยนต์และผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ได้รับผลกระทบอย่างมากจากมาตรการล็อคดาวน์ ที่ส่งผลให้การใช้จ่ายของครัวเรือนในสินค้าคงทนลดลง รวมทั้งข้อจำกัดการข้ามแดน ราวร้อยละ 80 ของผลิตภัณฑ์ของบริษัทตอบสนองต่อกลุ่มสินค้าที่ไม่คงทน ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบต่ออุปสงค์จากสถานการณ์โควิด-19 และภาวะราคาน้ำมันตกต่ำ “ในช่วงที่เศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์มีความผันผวน เรามีความพึงพอใจที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ของเรา 80% สามารถรองรับตลาดในกลุ่มสินค้าที่ไม่คงทนถาวร ซึ่งอุปสงค์ยังคงแข็งแกร่ง และมีส่วนในการเติบโตของกำไรและสภาพคล่อง เห็นได้จากปริมาณการขายและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง” สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ IVL ที่รองรับตลาดอาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลส่วนบุคคลและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย ได้รับผลบวกในช่วงของการระบาดใหญ่ของไวรัส ในขณะที่ผลิตภัณฑ์เพื่อการใช้งานด้านอิเลคทรอนิกส์และฟิล์มสำหรับหน้าจออยู่ในระดับคงที่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ยานยนต์และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันมีการปรับตัวลดลงอย่างมาก และเป็นครั้งแรกของการปิดกิจการธุรกิจค้าปลีก ซึ่งส่งผลต่อกลุ่มผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มของบริษัท ส่วนการเข้าซื้อกิจการ Spindletop และการเริ่มดำเนินงานของโรงงานก๊าซแครกเกอร์ใน Lake Charles ยังไม่ได้สร้างผลกำไรตามแผนงานธุรกิจที่วางไว้ แต่ด้วยงบการเงินที่แข็งแกร่ง และความเหมาะสมทางกลยุทธ์ของธุรกิจโอเลฟินส์ที่มีก๊าซเป็นวัตถุดิบ ช่วยส่งเสริมการควบรวมธุรกิจ MEG ตามกลยุทธ์ของบริษัท และที่สำคัญการเข้าสู่ธุรกิจที่มีการเติบโตทั้งสารลดแรงตึงผิว เชื้อเพลิงเขียว และยูรีเทน ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจของบริษัทมีความหลากหลายพร้อมสร้างการเติบโตในระยะยาว “เรามองเห็นสัญญาณการฟื้นตัว อันเนื่องมาจากการผ่อนปรนมาตรการล็อคดาวน์และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวดีขึ้น ผมมองเห็นโอกาสอย่างมากมาย และหวังว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และกลุ่มธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์ เรายังคงยึดมั่นในยุทธศาสตร์การดำเนินงานใน 5 ด้านที่สำคัญ ประกอบด้วย การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ (ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนราว 350 ล้านเหรียญภายในปี 2566 และ 44 ล้านเหรียญในช่วงครึ่งแรกของปี 2563) การใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่อย่างเต็มศักยภาพ การเติบโตในธุรกิจข้างเคียงที่น่าสนใจ การสร้างความเป็นผู้นำในธุรกิจรีไซเคิล PET และความเข้มแข็งและพัฒนาผู้นำในองค์กร” อาลกย้ำความเชื่อมั่นในผลประกอบการที่จะจะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ปี 2563 จากการกลับมาเปิดอีกครั้งของเศรษฐกิจโลก การผ่อนผันมาตรการล็อคดาวน์ และการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบ การลงทุนของบริษัทฯในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาในธุรกิจที่เป็นผู้นำตลาดโลก ประกอบกับความมุ่งมั่นในการเติบโตและสร้างความหลากหลายในกลุ่มผลิตภัณฑ์ เพื่อการเติบโตในระยะยาว ส่งผลให้ค่าตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยตลอดทั้งวัฏจักร ในขณะเดียวกันบริษัทยังคงมุ่งเน้นการสนับสนุน ส่งเสริม และใช้ประโยชน์จากธุรกิจหลักอย่าง PET ที่รีไซเคิลได้อย่างต่อเนื่อง “ในข่วงครึ่งหลังของปีนี้ เราเชื่อมั่นในโมเดลทางธุรกิจที่มีฐานการผลิตทั่วโลก ประกอบกับลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่ไม่ยืดหยุ่นทางอุปสงค์ ส่งผลให้เรายังคงจัดจำหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง และสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มั่นคง” ทั้งนี้ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (Bloomberg ticker IVL.TB) เป็นหนึ่งในบริษัทปิโตรเคมีชั้นนำระดับโลก มีโรงงานผลิตครอบคลุมภูมิภาคหลักทั่วโลก ได้แก่ แอฟริกา เอเชีย ยุโรปและอเมริกา โดยมีกลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ธุรกิจ Integrated PET ธุรกิจโอเลฟินส์ ธุรกิจเส้นใย ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Chemicals) รวมรายได้จากการขาย 1.14 หมื่นล้านเหรียญในปี 2562 และพนักงานทั่วโลกราว 24,000 คน อ่านเพิ่มเติม: เคล็ดลับ "บริหารการเงิน" โดย ‘ฐากร ปิยะพันธ์’ และ ‘รวิศ หาญอุตสาหะ’ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine