"ศุภชัย เจียรวนนท์" มั่นใจพร้อมรับมอบ "แอร์พอร์ต เรล ลิงก์" - Forbes Thailand

"ศุภชัย เจียรวนนท์" มั่นใจพร้อมรับมอบ "แอร์พอร์ต เรล ลิงก์"

FORBES THAILAND / ADMIN
26 May 2021 | 03:09 PM
READ 3342

บริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด เดินหน้าเตรียมความพร้อมในการรับโอนสิทธิ์การเดินรถแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ อัดฉีดงบลงทุนกว่า 1.7 พันล้านบาท เพิ่มเติมจากข้อตกลงตามสัญญา เตรียมพร้อมให้บริการก่อนรับมอบสิทธิ์การเดินรถ แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ จาก ร.ฟ.ท. ส่งผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศลงพื้นที่ตรวจสอบระบบการเดินรถ ซ่อมบำรุง และปรับปรุงตกแต่งสถานี ล่วงหน้าก่อนเริ่มการดำเนินงานเต็มรูปแบบหลังรับมอบในวันที่ 25 ตุลาคม 2564 นี้

ศุภชัย​ เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และ ประธานกรรมการ บริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด กล่าวถึงภาพรวมโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน และความพร้อมในการรับมอบรถไฟฟ้า แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ว่า บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะดำเนินการรับช่วงต่อจาก ร.ฟ.ท. ได้แบบไร้รอยต่อตามสัญญาซึ่งเป็นไปตามแผนงาน และกำหนดเวลาที่วางไว้ โดยสั่งการให้ผู้เชี่ยวชาญการเดินรถและให้บริการระบบราง ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศลงพื้นที่ตรวจสอบระบบอย่างละเอียด พร้อมสำรวจความคิดเห็นจากผู้โดยสาร เพื่อนำไปเป็นแนวทางการพัฒนาและปรับปรุงแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ให้พร้อมบริการได้อย่างต่อเนื่องทันทีที่เข้ามารับช่วง โดยเฉพาะในด้านความปลอดภัย และความสะดวกสบาย  “โครงการนี้ถือเป็นความหวังของประเทศในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ บริษัทฯ จึงทุ่มเทสรรพกำลังในการดำเนินงาน เพื่อให้ผู้โดยสารได้สัมผัสกับประสบการณ์การเดินทางที่ดียิ่งขึ้นทันทีที่เราเข้าไปดำเนินงาน ซึ่งต้องทำให้ดีตั้งแต่ก้าวแรก ต้องพร้อมทั้งในแง่ของระบบการเดินรถ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย เพราะรถไฟฟ้า แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ จะเป็นเส้นทางเชื่อมต่อสู่เส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกในอนาคตอีกด้วย” ด้าน สฤษดิ์ จิณสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าตามสัญญาบริษัทฯ จะได้รับมอบสิทธิ์ในการบริหารจัดการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ตั้งแต่ วันที่ 25 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป แต่หลังจากที่บริษัทฯ ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญระดับโลกลงพื้นที่ ประกอบกับผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนผู้ใช้บริการ ทำให้พบว่ามีความจำเป็นที่บริษัทฯจะต้องลงทุนเพิ่ม เพื่อปรับปรุงระบบ และสถานี ซึ่งจะทำให้บริษัทฯสามารถให้บริการประชาชนได้ทันที “บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมในการรับมอบเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อคณะผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมีความเห็นให้ดำเนินการปรับปรุงระบบและสถานีให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน บริษัทฯ จึงมีมติให้     อัดฉีดงบประมาณเพิ่มเติมกว่า 1.7 พันล้านบาท สำหรับดำเนินงานล่วงหน้าก่อนรับโอนสิทธิ์ โดยเริ่มวางแผนงานตั้งแต่ต้นปี 2563 และทยอยดำเนินการในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ ได้แก่ 1.การเตรียมการด้านบุคลากร และการถ่ายทอดเทคโนโลยี 2.การเตรียมความพร้อมด้านระบบ และเทคนิค 3.การเตรียมความพร้อมด้านการปรับปรุงสถานี และการให้บริการ จัดให้มีการเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้พิการ และกลุ่มเปราะบาง ด้วยการออกแบบอารยสถาปัตย์ (universal design) ซึ่งเป็นการออกแบบเพื่อทุกคน และ 4. การเตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัย เพราะต้องการให้ความเชื่อมั่นกับผู้โดยสารว่า ทันทีที่บริษัทฯ เข้ามาดำเนินงาน ผู้โดยสารจะได้รับประสบการณ์การเดินทางที่ดียิ่งขึ้นตั้งแต่วันแรก และมีความต่อเนื่อง” นอกจากการปรับปรุงการเดินรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ก่อนการรับมอบสิทธิ์ตามสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินแล้ว บริษัทฯ ยังมีแผนการพัฒนาและปรับปรุงในด้านอื่น ๆ อีกที่จะต้องดำเนินการหลังรับมอบสิทธิ์ อาทิ การปรับปรุงรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ อย่างต่อเนื่อง และปรับปรุงเพื่อรองรับรถไฟความเร็วสูง (HSR) การปรับปรุงเพื่อเพิ่มความปลอดภัย (Safety and Security) การปรับปรุงเพื่อยกระดับคุณภาพบริการ (Level of Service and Customer Satisfaction) และการปรับปรุงเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ เช่นการใช้งานเทคโนโลยี เป็นต้น ทั้งนี้ บริษัท รถไฟความเร็วสูง สายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด เป็นบริษัทเอกชนผู้ร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา) รายแรก ที่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลไทย ให้พัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูง ในรูปแบบสัญญาการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership : PPP) โดยมีระยะเวลาสัญญา 50 ปี มีมูลค่ากว่า 224,544 ล้านบาท โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เป็นโครงการเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลักในการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) เมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์ คาดว่าจะสร้างรายได้ ให้กับประชาชนในท้องถิ่น โดยมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจประมาณ 650,000 ล้านบาท รวมถึงการจ้างงานตลอดช่วงระยะเวลาการก่อสร้างสูงถึง 16,000 อัตรา และการจ้างงานในธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากกว่า 100,000 อัตรา ใน 5 ปี อ่านเพิ่มเติม: MACO เผยปี’63 กระทบหนักจากโควิด-19 ทำรายได้หดตัว
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine