‘ยศกร นิรันดร์วิชย’ ปั้น ‘สแทชอเวย์’ จากวิกฤตสู่โอกาสการลงทุน - Forbes Thailand

‘ยศกร นิรันดร์วิชย’ ปั้น ‘สแทชอเวย์’ จากวิกฤตสู่โอกาสการลงทุน

ราว 2-3 ปีที่ผ่านมา คนไทยตื่นตัวด้านการลงทุนมากขึ้น สังเกตได้จากจำนวนบัญชีลงทุนหลักทรัพย์รายบุคคลที่เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2563 ที่ผ่านมา เกือบ 6 แสนบัญชี ปัจจุบันมีบัญชีลงทุนรายบุคคลราว 1.8 ล้านบัญชี สแทชอเวย์ สตาร์ทอัพด้านการลงทุนจากสิงคโปร์ได้ฤกษ์บุกไทย ภายใต้การนำของ ‘ยศกร นิรันดร์วิชย’ CFA กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด

“วิกฤตที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง คนจะหันมาให้ความสำคัญด้านการลงทุนมากขึ้น” ยศกร นิรันดร์วิชย CFA กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เกริ่นนำถึงที่มาในการรับบริหารแพลตฟอร์มการลงทุนจากสิงคโปร์สู่ประเทศไทย สแทชอเวย์ เช่นเดียวกับตัวเขาที่หันมาให้ความสนใจด้านการลงทุนช่วงที่เกิดวิกฤตซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2550–2551 ซึ่งขณะนั้นเขายังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย “วิกฤตซับไพรม์ หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ทำให้เห็นความสำคัญของสถาบันการเงินที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบบสถาบันการเงิน ทำให้เศรษฐกิจล่มได้ ทำให้หันมาศึกษาด้านการลงทุนอย่างจริงจัง” ยศกรกล่าว

ชี้โอกาสการลงทุนของคนไทย

ยศกร มีจุดเริ่มต้นจากครอบครัวนักธุรกิจและวิถีสตาร์ทอัพ คุณพ่อและคุณแม่เป็นนักธุรกิจด้าน Interior ส่วนพี่ชายจบจาก Business School ชื่อดังของสหรัฐฯ และก็ยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Startup เกี่ยวกับการแพทย์อีกด้วย วิกฤตเศรษฐกิจ 2551 ทำให้สนใจด้านการเงินจริงจัง เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจเรื่องการลงทุนเป็นอย่างมาก เริ่มจากการเป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จากเงินลงทุนเริ่มต้น 50,000 บาท จนสามารถได้ผลตอบแทนหลักล้านบาท และตัดสินใจเรียนรู้ในแวดวงการลงทุนจริงจัง โดยสอบ CFA จนครบทั้ง 3 ระดับและในที่สุดก็ได้เป็น CFA Charterholder อย่างไรก็ตาม เขาตัดสินใจเรียนต่อและงานแรกหลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขา MBA ที่ INSEAD (Institut Europeen d'Administration des Affaires) ประเทศฝรั่งเศส คือการเป็น Marketing Executive ที่ SCG ซึ่งเป็นทีมพัฒนาตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศ ทำให้เบนเข็มจากการเป็น Banker ใน Wall Street และหันมาสนใจทำงานด้าน Management Consultant ภูมิภาคนี้อย่างจริงจัง เพราะอยากเป็นส่วนช่วยพัฒนาธุรกิจในภูมิภาคของเราให้เติบโตมากยิ่งขึ้น ทำให้ได้เรียนรู้ในสายงานการวางแผนกลยุทธ์ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยวางแผนธุรกิจ เมื่อหันกลับมามองที่ประเทศไทย ยศกร ได้ทำการศึกษาและพบว่า คนไทยมีการลงทุนน้อยมาก และสัดส่วนการถือครองเงินสดอยู่ที่ร้อยละ 40–50 ขณะที่ในสหรัฐอเมริกา ประชาชนจะถือเงินสดประมาณร้อยละ 14 ซึ่งการถือเงินสดมาก ไม่ใช่เรื่องดี เพราะการันตีได้ว่ามูลค่าของเงินจะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ ในอนาคต นั่นหมายถึงเมื่อถึงวัยเกษียณ จะมีเงินไม่พอใช้ ขณะที่ภาพรวมการลงทุนของคนไทยยังกระจุกตัวอยู่ในประเทศค่อนข้างมาก ทำให้ไม่สามารถกระจายความเสี่ยง สะท้อนถึงการลงทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพ ขณะที่แนวโน้มในปัจจุบัน คนไทยสนใจลงทุนมากขึ้น ตั้งแต่อายุ 27–40 ปี โดยเฉพาะการลงทุนในต่างประเทศ แต่ยังมีช่องทางน้อยมาก จึงต้องการเพิ่มโอกาสการลงทุนให้กับคนไทย โดยมีความเชื่อที่ว่าการลงทุนที่ดี ทุกคนต้องเข้าถึงง่าย “ด้วยความที่สนใจด้านการลงทุนอยู่แล้ว เมื่อได้รับการติดต่อจาก StashAway แพลตฟอร์มด้านการลงทุน ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2559 ที่ประเทศสิงคโปร์ และเติบโตอย่างรวดเร็วจนมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการมากกว่า 3 หมื่นล้านบาทภายในระยะเวลาน้อยกว่า 4 ปี จึงตัดสินใจเข้าร่วมงานและก่อตั้งบริษัท สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด แพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ช่วยให้การลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกเป็นเรื่องง่าย และช่วยให้นักลงทุนไทยก้าวข้ามชีดจำกัดด้านการลงทุน มุ่งสู่เป้าหมายทางการเงินได้อย่างยั่งยืน” ยศกรกล่าว

StashAway เปิดกว้างด้านการลงทุน

StashAway เปิดให้บริการแล้วในสิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ไทย และ Dubai International Financial Centre ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พร้อมทั้งผ่านการระดมทุนมาแล้ว 6 รอบ (Series D) โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุน Venture Capital ระดับโลกอย่าง Sequoia Capital India, Eight Roads Ventures และ Square Peg โดยในปี 2563 StashAway ได้รับการยอมรับจาก World Economic Forum ในฐานะ Technology Pioneer ที่มีบทบาทในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อการพัฒนาธุรกิจและสังคมของโลก ยศกร กล่าวว่า ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศของคนไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ทางเลือกในการลงทุนต่างประเทศยังมีจำกัด มีความซับซ้อน และมีค่าธรรมเนียมสูง ซึ่งทำให้การกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนของคนไทยยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร โดยประเทศไทยยังมีสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่กระจุกตัวอยู่ในประเทศค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย “สแทชอเวย์ จึงอยากเข้ามาช่วยให้นักลงทุนไทยก้าวข้ามขีดจำกัดต่างๆ เหล่านี้ โดยการมอบเทคโนโลยีที่ช่วยให้การลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกเป็นเรื่องง่ายเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจที่เติบโตสูง มีการบริหารพอร์ตการลงทุนที่มีประสิทธิภาพตามการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรฐกิจ และสามารถควบคุมความเสี่ยงได้อย่างแท้จริง” ยศกรกล่าว StashAway เพิ่มทางเลือกในการลงทุน โดยนำเสนอพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกตามระดับความเสี่ยงโดยมีให้เลือกถึง 12 ระดับ ลูกค้าสามารถสร้างพอร์ตได้หลายพอร์ตเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นพอร์ตแบบ General Investing เพื่อลงทุนให้เงินงอกเงยในระยะยาวหรือพอร์ตแบบ Goal-based Investing เพื่อลงทุนตามเป้าหมายทางการเงินเฉพาะซึ่งมีให้เลือกถึง 8 เป้าหมายและยังสามารถปรับระดับความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุนได้ตลอดเวลา ลูกค้าสามารถเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชันเพื่อเริ่มลงทุนกับ StashAway ได้ง่ายๆ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชันผ่านทาง App Store และ Play Store “เราเป็นองค์กรที่มี Growth Mindset เน้นการดำเนินงานที่โปร่งใส และจริงใจ มุ่งสู่เป้าหมายทางการเงินของลูกค้าเป็นสำคัญ ทุกคนในทีมมีเป้าหมายเดียวกัน มุ่งสร้างการเติบโตไปพร้อมกับลูกค้าของเรา โดยหวังว่าภายใน 2 ปี StashAway จะเติบโตแบบกระโดด ขึ้นเป็นผู้เล่นเบอร์ 1 หรือ 2 ในตลาดประเทศไทย” ยศกรกล่าวทิ้งท้าย อ่านเพิ่มเติม: “ถิรนันท์ อรุณวัฒนกูล” ปั้น มันนิกซ์ บริษัทลูก SCB สู่ยูนิคอร์น
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine