‘การบินไทย’ ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2567 รายได้รวม 43,981 ล้านบาท กำไรสุทธิ 314 ล้านบาท ส่วน 6 เดือนแรกปีนี้กำไร 2,273 ล้านบาท เดินหน้าปรับโครงสร้างทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการภายในปีนี้ และตั้งเป้ายกเลิกการฟื้นฟูกิจการภายในไตรมาส 2 ปี 2568
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำศักยภาพและความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน ด้วยผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2567 พร้อมกับการยกระดับการกำกับดูแลและบริหารจัดการองค์กร เพื่อเตรียมพร้อมการปรับโครงสร้างทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการภายในปีนี้ ซึ่งประกอบด้วย (1.1) การแปลงหนี้เดิมของเจ้าหนี้เป็นทุน (Mandatory Conversion) (1.2) สิทธิแปลงหนี้เป็นทุนเพิ่มเติม (Voluntary Conversion)
และ (2) การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ผู้ถือหุ้นก่อนการปรับโครงสร้างทุน พนักงานบริษัทฯ และนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจงตามลำดับ มุ่งสู่การยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อยกเลิกการฟื้นฟูกิจการและหุ้นของการบินไทยกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในไตรมาส 2 ปี 2568
ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) และบริษัทย่อยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 43,981 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 37,381 ล้านบาท แต่ลดลง 4.3% จากไตรมาสแรกของปี 2567 ซึ่งเป็นไปตามปกติของธุรกิจที่ไตรมาส 2 จะเป็นช่วงที่ปริมาณความต้องการเดินทางอยู่ในระดับต่ำที่สุดของปี
โดยบริษัทฯ ได้กลับมาทำการบินสู่เมืองมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี และกรุงออสโล ราชอาณาจักรนอร์เวย์ เพื่อรองรับปริมาณความต้องการเดินทาง และพัฒนาความร่วมมือกับสายการบินคูเวตแอร์เวย์สในรูปแบบเที่ยวบินรหัสร่วม (Codeshare) เชื่อมต่อเครือข่ายไปยังจุดหมายปลายทางอื่นๆ ในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือและยุโรป ทำให้มีผู้โดยสารรวมในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 จำนวน 3.81 ล้านคน และมีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 73.2%
บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายที่ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว 38,056 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 32.1% ส่วนใหญ่เกิดจากค่าใช้จ่ายที่ผันแปรตามปริมาณการผลิตและการขนส่งที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว 5,925 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566 ที่มีกำไร 8,576 ล้านบาท
บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีต้นทุนทางการเงินซึ่งเป็นการรับรู้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) จำนวน 4,796 ล้านบาท และมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวที่ส่วนใหญ่มาจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์เป็นค่าใช้จ่ายรวม 809 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 314 ล้านบาท ในขณะที่ปีก่อนมีกำไรสุทธิ 2,273 ล้านบาท โดยมี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบิน 4,401 ล้านบาท
สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 89,936 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 14.0% มีค่าใช้จ่ายที่ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว 72,935 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 27.3%
มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว 17,001 ล้านบาท ต่ำกว่างวดเดียวกันของปีก่อน 21.3% มีต้นทุนทางการเงินซึ่งเป็นการรับรู้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) จำนวน 9,403 ล้านบาท และมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวที่ส่วนใหญ่มาจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนและการด้อยค่าสินทรัพย์เป็นค่าใช้จ่ายรวม 4,847 ล้านบาท
ส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 2,738 ล้านบาท ในขณะที่ช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 14,795 ล้านบาท และมี EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบิน 18,402 ล้านบาท โดยมี EBITDA สูงกว่างบประมาณที่ตั้งไว้ ในขณะที่กำไรสุทธิต่ำกว่างบประมาณเล็กน้อย อันเป็นผลมาจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้น
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 บริษัทฯ มีเครื่องบินที่ใช้ทำการบินทั้งสิ้น 77 ลำ มีอัตราการใช้เครื่องบินในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 เฉลี่ย 13.0 ชั่วโมงต่อวัน มีปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15.6% ปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เพิ่มขึ้น 10.9% อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 78.1% ต่ำกว่าปีก่อนซึ่งเฉลี่ยที่ 81.4% และมีจำนวนผู้โดยสารที่ทำการขนส่งรวม 7.68 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.81 ล้านคน หรือคิดเป็น 11.8%
บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 270,526 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 31,535 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 310,956 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 28,823 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และบริษัทย่อยติดลบจำนวน 40,430 ล้านบาท ติดลบลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จำนวน 2,712 ล้านบาท มีเงินสด รายการเทียบเท่าเงินสด และสินทรัพย์ทางการเงินหมุนเวียนอื่น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 จำนวน 81,748 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14,618 ล้านบาท จาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566
ทั้งนี้ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี บริษัทฯ ได้ชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการไปแล้วรวมทั้งสิ้น 4,644 ล้านบาท จากหนี้ที่ครบกำหนดชำระทั้งปีจำนวน 13,022 ล้านบาท
เพื่อให้เป็นไปตามแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเตรียมแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) เพื่อเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งประกอบด้วย
(1.1) การแปลงหนี้ในสัดส่วนร้อยละ 100 เป็นทุน ของเจ้าหนี้กลุ่ม 4 ซึ่งรวมถึงเจ้าหนี้เงินกู้ยืมจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ได้แก่ กระทรวงการคลัง การแปลงหนี้ในสัดส่วนร้อยละ 24.50 ของมูลหนี้เป็นทุน ของเจ้าหนี้กลุ่ม 5 (สถาบันการเงินที่มีสิทธิตามสัญญาโอนสิทธิในการรับเงินจากการขายเครื่องบิน) เจ้าหนี้กลุ่ม 6 (สถาบันการเงินไม่มีประกัน) และเจ้าหนี้กลุ่มที่ 18-31 (เจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นกู้)
(1.2) สิทธิแปลงหนี้เป็นทุนเพิ่มเติมจากร้อยละ 24.50 ที่ระบุไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการในส่วนของเจ้าหนี้กลุ่ม 4 5 6 และ 18-31 ข้างต้น
และ (2) การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ผู้ถือหุ้นก่อนการปรับโครงสร้างทุน พนักงานบริษัทฯ และนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจงตามลำดับ โดยคาดว่าบริษัทฯ จะสามารถยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) สำหรับการปรับโครงสร้างทุนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) ภายในเดือนกันยายน 2567
หลังจากนั้น กระบวนการใช้สิทธิและแจ้งเจตนาแปลงหนี้เป็นทุนเพิ่มเติมของเจ้าหนี้แต่ละกลุ่มคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนพฤศจิกายน 2567 และกระบวนการเสนอขายและจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนสำหรับผู้ถือหุ้นก่อนการปรับโครงสร้างทุน พนักงานบริษัทฯ และนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจงคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนธันวาคม 2567 ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับกระบวนการจัดเตรียมข้อมูลที่เกี่ยวข้องของบริษัทฯ และที่ปรึกษาที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงระยะเวลาในการพิจารณาให้หนังสือชี้ชวนมีผลบังคับใช้ของ ก.ล.ต.
โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถดำเนินการปรับโครงสร้างทุนให้แล้วเสร็จได้ภายในสิ้นปีนี้ตามที่กำหนดในแผนฟื้นฟูกิจการ โดยมีวัตถุประสงค์ให้งบการเงินประจำปี 2567 ของบริษัทฯ มีส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นบวก ซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขความสำเร็จของการฟื้นฟูกิจการ ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อยกเลิกการฟื้นฟูกิจการและหุ้นของบริษัทฯ กลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568
ทั้งนี้ กรอบเวลาในการดำเนินกระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ข้างต้นขึ้นอยู่กับกระบวนการดำเนินการของทางบริษัทฯ เพื่อความสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการ รวมไปถึงการพิจารณาของ ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์ฯ ศาลล้มละลายกลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมของปี 2563 ก่อนที่บริษัทฯ ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กระทรวงการคลังลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทฯ ลงต่ำกว่าร้อยละ 50 ส่งผลให้บริษัทฯ พ้นจากความเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการ ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน สามารถดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการและปฏิรูปธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้
อาทิ การปรับโครงสร้างและปรับลดขนาดองค์กร การปรับลดแบบเครื่องบินและเครื่องยนต์ การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการต้นทุนในด้านต่างๆ ซึ่งรวมถึงด้านบุคลากร ด้านฝูงบิน ด้านการซ่อมบำรุงฝูงบินและเครื่องยนต์ การยกระดับขีดความสามารถในการหารายได้โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพระบบบริหารรายได้ การปรับปรุงยุทธศาสตร์การขายบัตรโดยสารโดยมุ่งเน้นการหารายได้บัตรโดยสารจากการเชื่อมต่อเครือข่ายเที่ยวบิน (Network) ซึ่งเป็นการสนับสนุนยุทธศาสตร์ภาครัฐในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินชั้นนำในระดับนานาชาติ
ตลอดจนการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจกลุ่มธุรกิจการบิน นำเครื่องบินแบบ A320 จากสายการบินไทยสมายล์เข้าประจำการในฝูงบินของบริษัทฯ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการบริหารจัดการฝูงบินและผลการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สามารถวางแผนพัฒนาเครือข่ายเส้นทางบินและเที่ยวบินให้ครอบคลุมรองรับความต้องการของผู้โดยสารได้ดียิ่งขึ้น
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : เวียตเจ็ท ทุ่ม 7.4 พันล้านเหรียญ ซื้อเครื่องบิน A330neo จากแอร์บัส 20 ลำ
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine