‘เซ็นทารา’ ฟื้นกลับมามีกำไร! ปีนี้เตรียมเปิดโรงแรมอีก 6 แห่ง - Forbes Thailand

‘เซ็นทารา’ ฟื้นกลับมามีกำไร! ปีนี้เตรียมเปิดโรงแรมอีก 6 แห่ง

หลังโควิดกระทบจนขาดทุนมาหลายปี ล่าสุดปี 2566 เซ็นทารา พลิกกลับมามีกำไรแล้ว ส่วนปีนี้เตรียมงบลงทุน 6,500-7,000 ล้าน เปิดโรงแรมใหม่ 6 แห่งทั้งในและต่างประเทศ


    ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่า ปี พ.ศ. 2566 นับเป็นปีแห่งความภาคภูมิใจที่เซ็นทาราเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปี ในไทย และเป็นปีที่เซ็นทาราประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นกับหลากหลายโปรเจกต์สำคัญ

    อาทิ การเปิดให้บริการ “เซ็นทารา แกรนด์ โอซาก้า” ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งแรกของเซ็นทาราในญี่ปุ่น, การได้รับรางวัลสุดยอดนายจ้างดีเด่นแห่งประเทศไทย ประจำปี 2023 จากงาน Kincentric Best Employers Thailand 2023 และความสำเร็จของแบรนด์ “เซ็นทารา แกรนด์” ที่คว้าตำแหน่งแบรนด์ที่แข็งแกร่งสุดในไทย จากรายงาน 50 อันดับบริษัทประจำปี 2023 โดยสถาบัน Brand Finance

เซ็นทารา แกรนด์ โอซาก้า


    ในปีที่ผ่านมา เซ็นทาราบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง โดยเซ็นทารามีรายได้รวมอยู่ที่ 9,932 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยจ่าย และภาษีเงิน (EBITDA) จำนวน 3,284 ล้านบาท เติบโต 83% เมื่อเทียบกับปีก่อน

    ทั้งนี้ มีรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ยของทั้งหมด (RevPar) เพิ่มขึ้น 19% อยู่ที่ 4,141 บาท

    สำหรับแผนการขยายโรงแรมในปี พ.ศ. 2567 นี้ เซ็นทาราเดินหน้าตอกย้ำความเป็นเครือโรงแรมชั้นนำ ด้วยการเตรียมเปิดให้บริการโรงแรมทั้งในและต่างประเทศเพิ่มทั้งหมด 6 แห่ง โดยแบ่งเป็น 3 แห่งในไทย, 2 แห่งในสปป.ลาว และ 1 แห่งในมัลดีฟส์ ได้แก่ เซ็นทารา ไลฟ์ ละมัย รีสอร์ท สมุย, เซ็นทารา วิลลา เกาะพีพี, เซ็นทารา ไลฟ์ สุราษฎร์ธานี, โคซี่ เวียงจันทน์ น้ำพุ, เซ็นทารา พลูมเมอเรีย รีสอร์ท ปากเซ และเซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์

    อีกหนึ่งโปรเจ็กต์สำคัญที่สุดแห่งปี คือ “โรงแรมเซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์” ที่มีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายนปี พ.ศ. 2567 นี้ ถือเป็นโครงการส่วนแรกของเซ็นทาราบนเกาะสวรรค์ในมาเล่ อะทอลล์เหนือ หนึ่งในเกาะในกลุ่มมัลดีฟส์ที่มีความสวยงามอย่างเหนือชั้น

    โดยจะสามารถเดินทางเข้าถึงได้โดยง่ายด้วยสปีดโบ๊ทเพียง 30 นาที จากท่าอากาศยานนานาชาติเวลานา หรือที่มักเรียกว่า ท่าอากาศยานนานาชาติมาเล่ เซ็นทารา มิราจ ลากูน

    มัลดีฟส์นับเป็นโรงแรมภายใต้ธีมมิราจ แห่งที่ 4 ของโลก ต่อจากที่พัทยา มุยเน่ และดูไบ โดยโรงแรมแห่งนี้ เป็นแบรนด์ธีมรีสอร์ทสำหรับครอบครัว ออกแบบมาให้โดดเด่นด้วยคอนเซ็ปต์โลกใต้น้ำ มีสวนน้ำและกิจกรรมทางน้ำอันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้ากลุ่มครอบครัว

    และต่อไปในไตรมาสที่ 1 ของปี พ.ศ. 2568 เซ็นทารามีแผนจะเปิดให้บริการ “โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์” รีสอร์ทหรูขนาด 142 ห้องพักเป็นลำดับถัดไป นั่นจะทำให้นักเดินทางที่มาเยี่ยมเยือนเกาะในฝันแห่งนี้สามารถเพลิดเพลินไปกับตัวเลือกที่พัก 2 แบบ 2 สไตล์ในเครือเซ็นทารา เพื่อการพักผ่อนที่น่าประทับใจได้

    นอกจากนั้น ยังมีอีกสองโรงแรมแฟลกชิปที่เซ็นทาราตั้งใจจะปรับโฉมครั้งใหญ่ในปีนี้ คือ เซ็นทารา กะรน รีสอร์ท ภูเก็ต (จำนวน 335 ห้องพัก) และเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา (จำนวน 553 ห้องพัก) และสำหรับการรีแบรนด์ เซ็นทาราได้ประกาศรีแบรนด์ “เซ็นทรา บาย เซ็นทารา” ให้เป็น “เซ็นทารา ไลฟ์” ในช่วงปลายปีที่แล้ว และมีแผนจะรีแบรนด์ “เซ็นทารา บูติก คอลเลกชัน” ต่อเนื่องในปีนี้เช่นกัน

    โดยเซ็นทารามีแผนจะขยายแบรนด์ในเครือทั้ง 6 แบรนด์ ออกสู่หลากหลายจุดหมายปลายทางทั้งในและต่างประเทศ อาทิ แผนขยายแบรนด์เซ็นทารา รีเซิร์ฟ และโรงแรมในธีมมิราจไปในไทย, มัลดีฟส์, ญี่ปุ่น และอินโดนีเซีย รวมถึงแผนการเซ็นสัญญาขยายเครือข่ายพันธมิตรในตลาดสำคัญๆ อย่างจีนด้วยเช่นกัน

    “เรารู้สึกภาคภูมิใจกับเส้นทางความสำเร็จในการเดินหน้า เพื่อก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 100 แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลกภายใน พ.ศ. 2570 ตามที่เราเคยได้ตั้งเป้าไว้ ซึ่งในปีที่แล้ว เราได้ก้าวจากอันดับที่ 150 มาอยู่ที่อันดับที่ 111 ซึ่งต้องถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่เราสามารถเดินหน้าสู่ความสำเร็จได้ตามแผนและตรงตามกลยุทธ์ที่เราได้ตั้งไว้เร็วกว่าที่คาดการณ์” ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ กล่าว


    กันย์ ศรีสมพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีของการสร้าง Future growth โดยเตรียมใช้งบลงทุนกว่า 6,500-7,000 ล้านบาท ครอบคลุมการเปิดโรงแรมใหม่และการรีโนเวตโรงแรมเดิมต่อ และใช้สำหรับธุรกิจอาหารด้วย จากปีที่แล้วใช้งบเพียง 2,200 ล้านบาทเท่านั้น

    “ส่วนปีนี้ตั้งเป้ารายได้ธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ 12,500 ล้านบาท (รวมกับรายได้จากการ JV ที่ดูไบแล้ว) และถ้ารวมธุรกิจอาหารด้วยคาดว่าจะมีรายได้ทั้งหมด 29,000 ล้านบาท เติบโต 14-15% จากปีทีผ่านมา โดยปัจจัยหลักๆ มาจากสถานการณ์ที่เริ่มดีขึ้น ทั้งที่ดูไบ, มัลดีฟส์นักท่องเที่ยวจีนก็เริ่มกลับมา, โอซาก้าก็จะเริ่มรับรู้รายได้เต็มปี

    “นอกจากนี้ ที่ผ่านมาเรายังรีโนเวตและปรับพอร์ตให้เป็นโรงแรมระดับ 4-5 ดาวมากขึ้น เมื่อเทรนด์นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเป็นกลุ่มใช้จ่ายสูง เป็นกลุ่มไฮเอนด์ ทำให้เราได้ประโยชน์ โดยคาดว่าราคาห้องพักเฉลี่ยในปีนี้จะปรับเพิ่มขึ้นอีก ทำให้เซ็นทาราคาดการณ์ว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (รวมโรงแรมร่วมทุน) จะอยู่ที่ 70% - 73% และมีรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPAR) จะอยู่สูงสุดที่ 4,300 บาท”



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Minor Hotels เปิดตัวแบรนด์ ‘โรงแรมอวานี’ ครั้งแรกในประเทศจีน

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine