บลูเวล แอสเซท เชื่อมั่นศักยภาพท่องเที่ยวไทยเนื้อหอม พร้อมเป็นศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะภูเก็ต สมุย เขาใหญ่ หนุนธุรกิจโรงแรมเติบโตแข็งแกร่ง สู่โอกาสการจัดตั้งกองทรัสต์ลงทุนในโรงแรมให้ผลตอบแทนคาดการณ์ 8.5% ประกาศเป้าหมายปั้นทรัสต์อิสระโรงแรมหมื่นล้านขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ
ภาพรวมการท่องเที่ยวของประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่องคิดเป็น 22.8% ของจีดีพีประเทศ ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวคาดการณ์เพิ่มจาก 38 ล้านคนในปีที่ผ่านมา สู่จำนวน 41 ล้านคนในปีนี้ ทั้งยังได้รับปัจจัยหนุนจากการพัฒนาการคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการสนับสนุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน การขยายสนามบินและการเพิ่มเส้นทางของสายการบินโลว์คอสต์ รวมถึงมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวต่างๆ เช่น การยกเว้นค่าวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวบางประเทศ
“แม้ประเทศไทยจะเผชิญวิกฤตหรือปัจจัยลบเป็นระยะ แต่ยังสามารถเติบโตจาก 13-14 ล้านคนเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาโดยปิดที่ 38.5 ล้านคน ซึ่งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรงมาก ไม่ว่าจะเป็นภูมิศาสตร์และภูมิอากาศของประเทศที่สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี การบริการหรือ service mind ของคนไทย รวมถึงการสนับสนุนการท่องเที่ยวของภาครัฐ” รุ่งยศ จันทภาษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูเวล แอสเซท จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์อิสระ กล่าวถึงโอกาสที่เล็งเห็นและสร้างความเชื่อมั่นให้ตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจการลงทุน และจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า บลูเวล ฮอสพิทอลลิตี้ (BWHREIT)
ขณะเดียวกัน รุ่งยศยังมั่นใจในประสบการณ์ที่สั่งสมตลอดเส้นทางนับตั้งแต่สำเร็จปริญญาตรีด้านวิศวกรรมการผลิต จาก Kingston University ประเทศอังกฤษ และปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (EMBA) จากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมทำงานหลากหลายธุรกิจทั้งเรือด่วนเจ้าพระยา และบุกเบิกงานด้านไอทีให้กลุ่มเนชั่น รวมถึงการนั่งเก้าอี้ผู้บริหารพัฒนาธุรกิจและการตลาดของศูนย์การค้าเกษรพลาซ่ากว่า 10 ปี
“เรามองเกษรมากกว่าศูนย์การค้า และแยกราชประสงค์เปรียบได้กับ destination ของคนทั่วโลกที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย เหมือนมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่มีทั้งศูนย์การค้าออฟฟิศ โรงแรม และคอนโดมิเนียม ดังนั้น สิ่งที่เรามองตอนนั้นเป็นเรื่องการวางกลยุทธ์และเพิ่มมูลค่าให้กับย่านราชประสงค์ ซึ่งประสบการณ์ที่ได้รับจากการร่วมพัฒนาย่านมิกซ์ยูสเชื่อมทางเดินมากกว่า 10 อาคาร ทำให้เดินง่ายขึ้น ทำให้เราเรียนรู้การสร้างพื้นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับเวทีโลกได้ต้องพัฒนา fundamental อะไรบ้างเพื่อความยั่งยืน” รุ่งยศย้ำถึงการปรับมุมมองและความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สู่การพิจารณาปัจจัยพื้นฐานในธุรกิจการลงทุน
ภายใต้เป้าหมายการจัดตั้งกองทรัสต์โรงแรมใหญ่ที่สุดในไทย รุ่งยศให้ความสนใจแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเริ่มจากการลงทุนครั้งแรกในกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรม 3 แห่งในภูเก็ต เกาะสมุย และเขาใหญ่ ได้แก่ โรงแรมแลงแฮม สแปลช จังเกิ้ล รีสอร์ท และสวนน้ำ สแปลช จังเกิ้ล โรงแรมหรรษา สมุย รีสอร์ท แอนด์ สปา รวมถึงโรงแรมเดอะ กรีนเนอรี่ รีสอร์ท เขาใหญ่ และศูนย์ประชุม KYCC
“เราเลือกลงทุนในจังหวัดติดอันดับ top destination โดยเลือกโรงแรมที่มีโลเคชั่นเข้าถึงได้ไม่ยาก และพิจารณาคอนเซปท์ของโรงแรม เช่น โรงแรมในภูเก็ตหรือสมุย เข้ามาต้องเห็นทะเล เดินไปถึงชายหาดได้ รวมถึงมิกซ์ของรายได้มาจากหลายช่องทาง กระจายความเสี่ยง และสภาพของโรงแรมในกองทุนต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างดี พร้อมผลการดำเนินงานย้อนหลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ เจ้าของทรัพย์สินต้องมี passion ประสบการณ์ด้านโรงแรม ความเป็นมืออาชีพ และเน็ตเวิร์กลูกค้ามีความแข็งแกร่งในการบริหารโรงแรมต่อเนื่องหรือไม่”
สำหรับจุดเด่นของกองทรัสต์ BWHREIT อยู่ที่การกระจายการลงทุนในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่หลากหลาย และจับกลุ่มนักท่องเที่ยวแตกต่างกัน ซึ่งช่วยลดความผันผวนของรายได้ในแต่ละฤดูกาล และสร้างความสมดุลให้พอร์ตการลงทุนได้
“ข้อดีของการขยายกอง BWHREIT ขนาดใหญ่ ทำให้ผู้ถือหน่วยหรือนักลงทุนมีความเสี่ยงน้อยลง โดยเราไม่ได้เติบโตบน destination เดียว แต่เป็นการกระจายความเสี่ยงด้านทำเล แหล่งท่องเที่ยว และการบริหารจัดการโรงแรม รวมถึงนักท่องเที่ยวที่แตกต่างกันไปในแต่ละเซกเมนต์”
นอกจากนั้น กองทุนยังมีการผสมผสานการลงทุนในกรรมสิทธิ์ (freehold) และสิทธิการเช่า (leasehold) ในสัดส่วน 57% และ 43% ซึ่งกองทรัสต์ยังให้เช่าทรัพย์สินที่มีทั้งค่าเช่าคงที่ที่เพิ่มขึ้นในอัตรา 2% ต่อปี และค่าเช่าแปรผัน เพื่อให้ผู้ถือหน่วยได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและโอกาสเติบโตจากศักยภาพการสร้างผลกำไรในอนาคต โดยวงเงินลงทุนครั้งแรกมีมูลค่าสูงสุดไม่เกิน 4.42 พันล้านบาท พร้อมประมาณการอัตราผลตอบแทนที่จ่ายให้แก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ ในปีแรกอยู่ที่ประมาณ 8.50%
“ตลอดระยะเวลาปีครึ่งที่ผ่านมาเราดูโรงแรมเกือบ 60 แห่งทั่วประเทศ เดิมจะเข้ารอบแรก 7 โรงแรม แต่มีบางเรื่องต้องใช้เวลาแก้ไข ในปีหน้าจึงน่าจะมีเพิ่มในกรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ และกระบี่ รวมขนาดกองทุน 1 หมื่นล้านบาทในปีหน้า และเป็น 2 หมื่นล้านบาทใน 3 ปี ซึ่งจะทำให้เราเป็นทรัสต์โรงแรมใหญ่ที่สุดในประเทศไทย” รุ่งยศปิดท้ายถึงความมั่นใจเดินหน้าแผนลงทุนในสินทรัพย์โรงแรมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในจังหวัดที่ติดอันดับจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวของโลก ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุย พัทยา เขาใหญ่ กระบี่ และเชียงใหม่ เพื่อขยายขนาดของกองทุนระดับ 2 หมื่นล้านบาทภายใน 3 ปี พร้อมเปิดกว้าง ให้ความสนใจกับทุกโอกาสการลงทุน
“เราพิจารณาโอกาสการลงทุนในอาคารสำนักงานกรุงเทพฯ เพราะเป็นธุรกิจที่ไม่หวือหวามาก และให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ แต่ 10 กว่าปีที่ผ่านมาซัพพลายของออฟฟิศที่เข้ามามีมากกว่าล้านตารางเมตร เราจึงคิดว่าน่าจะรอมรสุมลูกนี้ผ่านไปก่อน 3-4 ปีข้างหน้าจึงรีวิวธุรกิจนี้อีกครั้ง”
อ่านเพิ่มเติม ภาพ: บจ.บลูเวล แอสเซทคลิกเพื่อติดตามบทความทางด้านเศรษฐกิจและธุรกิจอื่นๆ ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับพฤศจิกายน 2562 ในรูปแบบ e-Magazine