THE BALVENIE 60 คราฟต์วิสกี้จากมอลต์มาสเตอร์ระดับตำนาน David C. Stewart - Forbes Thailand

THE BALVENIE 60 คราฟต์วิสกี้จากมอลต์มาสเตอร์ระดับตำนาน David C. Stewart

FORBES THAILAND / ADMIN
20 May 2024 | 02:10 PM
READ 2569

THE BALVENIE แบรนด์สก็อตวิสกี้ซิงเกิ้ลมอลต์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความประณีต และคุณภาพระดับโลก อวดสุดยอดวิสกี้

งานคราฟต์ THE BALVENIE 60 ซึ่งเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซของ David C. Stewart มือบ่มวิสกี้ระดับตำนาน 

วางจำหน่ายทั่วโลกให้นักดื่มนักสะสมลิ้มลองและครอบครองเพียง 71 ขวดเท่านั้น

THE BALVENIE 60 เป็นวิสกี้ที่ใช้ระยะเวลาในการหมักยาวนานกว่า 60 ปี จึงถือเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เก่าแก่ที่สุดที่วางตลาดในวันนี้ โดยแบรนด์ได้ทำการเปิดตัวในปีที่ผ่านมาเพื่อฉลองครบรอบประสบการณ์บ่มวิสกี้อันยาวนานกว่า 60 ปีของ David มอลต์มาสเตอร์ระดับตำนานที่เทคนิคการบ่มวิสกี้ของเขายังคงทรงอิทธิพลในอุตสาหกรรมวิสกี้ในปัจจุบัน เป็นตำนานวิสกี้ที่ยังมีชีวิตอยู่และคลุกคลีกับวิสกี้นานที่สุดในประวัติศาสตร์

​THE BALVENIE 60 บรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่มีลักษณะคล้ายงานศิลปะ ซึ่งทำด้วยแก้ว ทอง และทองเหลือง โหลแก้วที่ครอบขวดได้รับการออกแบบให้เป็นเลเยอร์ เพื่อสะท้อนถึงการสั่งสมประสบการณ์อันยาวนานของ David ตัวขวดยังเป็นขวดแรกที่มีลายเซ็นของเขาและ Kelsey McKechnie มอลต์มาสเตอร์คนปัจจุบันของ THE BALVENIE ซึ่งเป็นมอลต์มาสเตอร์หญิงคนแรกของแบรนด์อีกด้วย



รสสัมผัสของ THE BALVENIE 60 ซึ่งเป็นวิสกี้ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 42.4% จะได้กลิ่นของหนังและไม้โอ๊คที่เข้มข้น ซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะสำหรับวิสกี้ยุคนี้ ละมุนไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ที่แตะจมูก และรสชาติที่อุดมไปด้วยท๊อฟฟี่และไม้โอ๊คที่กลิ่นอบอวลเมื่อได้ลิ้มลอง วิสกี้ตัวนี้ได้รับการบ่มในถังไม้โอ๊คขนาดใหญ่ปริมาณ 250 ลิตร ซึ่งเป็นถังบ่มเดียวและได้รับการบรรจุในปี 1962 ซึ่งเป็นปีที่ David มอลต์มาสเตอร์ชาวสก็อตเริ่มต้นทำงานในโรงกลั่นของ THE BALVENIE

​ย้อนกลับไปในปีนั้น David ในวัย 17 ปี เริ่มทำงานในตำแหน่งเสมียนดูแลคลังสินค้าวิสกี้ให้กับ THE BALVENIE ในปีเดียวกันนั้น คอลเลคชันถังไม้โอ๊คยุโรปขนาดใหญ่แบบดั้งเดิมเริ่มนำมาใช้ผลิตวิสกี้ โดยต่อมาในปี 1974 David ในวัยเพียง 29 ปี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นมอลต์มาสเตอร์ของ THE BALVENIE คนที่ 5 ของแบรนด์ และในช่วงทศวรรษที่ 1980 เขาได้เริ่มทดลองบ่มวิสกี้เป็นครั้งแรก ซึ่ง 10 ปีต่อมาหลังจากสั่งสมประสบการณ์ในการบ่มวิสกี้ เขาได้ทดลองบ่มวิสกี้ในหลากหลายรูปแบบและได้รังสรรค์วิสกี้ 2 ตัวที่ได้สร้างชื่อให้กับเขา ได้แก่ DoubleWood และ Portwood 21 ซึ่งเป็นวิสกี้ตัวโปรดของเขา ทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักในระดับโลกในทศวรรษที่สี่นี้เอง


​ในช่วงทศวรรษที่ห้าของ David มีการฉลองครบรอบ 50 ปีที่เขาร่วมงานกับ THE BALVENIE และยังเป็นครั้งแรกๆ ที่วิสกี้อายุ 30 ปี 40 ปี และ 50 ปีได้ถูกนำมาบรรจุขวด นับเป็นการทดลองและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องของเขา และในปี 2016 เขาได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งจักรวรรดิอังกฤษหรือ Most Excellent Order of the British Empire (MBE) จากควีนเอลิซาเบธที่ 2 ในฐานะผู้อุทิศตนและสร้างคุณูปการให้กับวงการสก็อตวิสกี้มาเกินครึ่งศตวรรษ


​David C. Stewart

ปัจจุบัน David เป็นทูตกิตติมศักดิ์และอดีตมอลต์มาสเตอร์ของ THE BALVENIE เทคนิคในการบ่มวิสกี้ที่เขาได้บุกเบิกส่งอิทธิพลอย่างมากต่อการผลิตวิสกี้ในทุกวันนี้ เขาได้สร้างชื่อจากผลงานที่ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคนิคการบ่มวิสกี้แบบ Cask finishing หรือการบ่มวิสกี้หลายปีในถังหนึ่งแล้วมาเปลี่ยนถังในช่วงสุดท้ายของการบ่มอีกครั้งเพื่อสร้างรสชาติใหม่ให้กับวิสกี้ ซึ่งเป็นเทคนิคการบ่มวิสกี้ที่ได้สร้างชื่อให้กับ THE BALVENIE และเป็นวิธีที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในแวดวงสก็อตวิสกี้ในทุกวันนี้

​THE BALVENIE เป็นโรงกลั่นวิสกี้แห่งเดียวที่ตั้งอยู่ที่ Scottish Highlands หรือที่ราบสูงสก็อต โดยตั้งอยู่ที่เมือง Dufftown ใน Speyside ซึ่งเป็นแหล่งผลิตซิงเกิ้ลมอลต์ระดับแถวหน้าของสก็อตแลนด์ ถือเป็นโรงกลั่นที่มีความเชี่ยวชาญระดับงานคราฟต์ (Craftsmaship) โดยคราฟต์กันตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงการบ่ม


​เริ่มจาก Home grown barley ไร่บาร์เลย์ที่ปลูกเองเพื่อทำมอลต์ โดยสืบสานการเพาะปลูกแบบที่เป็นเอกลักษณ์จากรุ่นสู่รุ่น

​Cooperage หรือการทำถังบ่มวิสกี้ ไม่ว่าจะซ่อมหรือสร้างที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเพื่อให้แน่ใจว่าลมและน้ำไม่สามารถเล็ดลอดเข้าไปในถังได้

​Malting floors หรือวิธีการทำมอลต์แบบโบราณ โดยหลังจากแช่ข้าวบาร์เลย์ในน้ำแร่ที่มาจากเนินเขา ก็จะเกลี่ยเมล็ดพืชให้ทั่วพื้นในโรงมอลต์และพลิกหรือไถมอลต์ทุกวันตลอดทั้งสัปดาห์ ซึ่งจะได้มอลต์รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ โดยวิธีการทำมอลต์แบบดั้งเดิมนี้เหลือโรงกลั่นเพียงไม่กี่รายในสก็อตแลนด์ที่ยังใช้วิธีนี้อยู่

​Copper stills หรือการกลั่นด้วยหม้อทองแดง ซึ่งหม้อกลั่นของ THE BALVENIE มีรูปทรงที่ทำให้วิสกี้มีรสชาติเหมือนน้ำผึ้ง จึงเป็นที่มาของสาเหตุที่ว่า ทำไมทักษะการทำหม้อทองแดงจึงสำคัญต่อการรักษาเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ THE BALVENIE

​สุดท้าย คือ Malt master ที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการผลิตวิสกี้ทั้งหมด โดยใช้วิธีดมกลิ่นที่ได้ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เพื่อทำให้คงคุณภาพของวิสกี้ของ THE BALVENIE ซึ่งมอลต์มาสเตอร์จะใช้วิธีดมเก็บตัวอย่าง เพื่อให้ได้กลิ่นที่สมดุลและกลิ่นที่เป็นลักษณะเฉพาะในการรังสรรค์ซิงเกิ้ลมอลต์วิสกี้ที่ดีที่สุด โดยทั้ง 5 ส่วนนี้เป็นสิ่งที่แบรนด์ยังคงยึดมั่นและดำเนินงานมาตลอดกว่า 130 ปี

​THE BALVENIE ก่อตั้งโดย William Grant ในปี 1892 หลังจากสั่งสมประสบการณ์จากการทำงานในโรงกลั่น โดยนำคฤหาสถ์ Balvanie New House ที่ถูกทิ้งร้างมาปรับปรุงเป็นโรงกลั่น เริ่มผลิตวิสกี้ในปี 1893 ต่อมาหลังจากเขาจากไปในปี 1923 John ลูกชายของเขาได้สืบทอดธุรกิจและขยายกิจการโรงกลั่น ผลิตวิสกี้ส่งขายไปยังทั่วโลก โดยวิธีการทำมอลต์แบบ Malting floor ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้เริ่มนำมาใช้ในปี 1929 เป็นต้นมาจวบจนถึงปัจจุบัน