จากรุ่นบุกเบิกส่งต่อสู่ทายาทรุ่น 2 “SC Asset” ปรับตัวรับเทคโนโลยีดิจิทัลในเชิงรุก ตอบโจทย์ทั้งพฤติกรรมใหม่ตลาดและการเพิ่มคุณค่าด้วยวิถีแห่งความยั่งยืน
เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น อีกหนึ่งธุรกิจสำคัญของตระกูลชินวัตรที่ส่งต่อการบริหารมาสู่ทายาทรุ่น 2 เข้ามาสานต่อธุรกิจและสร้างการเติบโตได้อย่างน่าสนใจ ด้วยการวางเป้ารายได้รวมถึง 1.5 แสนล้านบาทภายใน 5 ปีนับจากนี้ ด้วยกลยุทธ์ “SC the Evolution” การพัฒนาโดยมุ่งสร้างคุณค่าสู่คนและโลกด้วยเป้าหมายสร้างการเติบโตบนความหลากหลายทางธุรกิจ
“ปีนี้ตลาดผกผันสูง สิ่งที่เราทำคือเน้นสร้างความหลากหลายธุรกิจ และสร้างคุณค่าธุรกิจให้เติบโตควบคู่ไปกับสังคมและคนรอบข้าง ทั้งมิติของผู้คนและสิ่งแวดล้อม” ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ให้สัมภาษณ์ล่าสุดก่อนสิ้นไตรมาสแรกปี 2567 ไม่นานนัก พร้อมยอมรับว่าธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และมีความผกผันจากหลายปัจจัยทั้งเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจในประเทศ แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น กำลังซื้อตลาดกลาง-ล่างถดถอย ส่วนตลาดบนยังมีกำลังซื้อแต่การตัดสินใจช้าลง
แม้จะมีปัจจัยที่ท้าทายแต่ในปี 2566 ณัฐพงศ์เผยว่า SC ยังคงทำยอดขายเติบโต และสามารถทำนิวไฮได้ 4 ปีต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจว่าจะสร้างการเติบโตในการก้าวสู่ทศวรรษที่ 3 ได้อย่างต่อเนื่องด้วยวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ “SC the Evolution” ซึ่งเน้นสร้างคุณค่าทั้งมิติของคนและโลก โดยตั้งมั่นที่จะเติบโตบนความหลากหลายทางธุรกิจด้วยการพัฒนาและปรับตัวเข้ากับบริบทเศรษฐกิจและสังคม
โดยมุ่งเติบโตพร้อมกันทั้ง 3 ด้าน หรือ PPP: People, Planet และ Profit โดย People คือ ทำให้ลูกค้ามีคุณภาพชีวิตดีด้วยสินค้า-บริการคุณภาพสูงและมีนวัตกรรม ขณะที่พนักงานเติบโต มั่นคง ภูมิใจ แสดงศักยภาพได้เต็มที่ ส่วน Planet คือ ทำให้สิ่งแวดล้อมน่าอยู่ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ Profit คือ ทำกำไรเติบโตจากธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น
“ธุรกิจยุคนี้ต้องไปด้วยกันทั้ง People Planet และ Profit” ณัฐพงศ์ย้ำว่า นี่คือวิถีการเติบโตที่เดินควบคู่ไปกับความยั่งยืน นั่นคือเติบโตและสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกค้า คู่ค้า สิ่งแวดล้อม ชุมชน สังคม โลก รวมถึงผลกำไรจากการดำเนินงาน
เร่งท่องเที่ยว-คลังสินค้า
มุมมองของซีอีโอ SC คือ ต้องการพัฒนาธุรกิจให้หลากหลายมากขึ้น ต่อเนื่องไปถึงธุรกิจท่องเที่ยวและคังสินค้า โดยแบ่งสัดส่วนธุรกิจจากการพัฒนาที่อยู่อาศัย 50% ท่องเที่ยว โรงแรม-อะพาร์ตเมนต์ 25% และคลังสินค้ารองรับอี-คอมเมิร์ซอีก 25% ทั้งนี้เพื่อสร้างความสมดุลของธุรกิจ กระจายความเสี่ยง และสร้างการเติบโตในหลายช่องทาง ตามทิศทางการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นอกจากพัฒนาเพื่อขาย เขายังมองโอกาสในตลาดเช่า แบบ subscription เพื่อรองรับพฤติกรรมตลาดของคนรุ่นใหม่ควบคู่ไปด้วย
“ใน 5 ปีนี้เราจะเน้นเครื่องยนต์ที่ 2 คือ โรงแรมและคลังสินค้าในสัดส่วนเท่ากันคือ 25% เพิ่มขึ้นจากทุกปีที่พัฒนาเพียง 15-20%” โดยคลังสินค้าจะเปิดเพิ่มอีกกว่า 100,000 ตร.ม. รวมเป็น 160,000 ตร.ม. กับของเดิมที่ร่วมทุนกับ Flash Express และต่างชาติ ส่วนโรงแรมจะพัฒนาให้ได้ 2,000 keys จากปัจจุบันมียอดรวมกันเกือบ 600 keys จากโรงแรมที่กรุงทพฯ ภูเก็ต และพัทยา ซึ่งทำเลพัทยากำลังศึกษาโรมเวลเนสให้บริการด้านสุขภาพควบคู่กันไป เพื่อรองรับสังคมสูงวัยและการดูแลสุขภาพ
นอกจากนี้ ยังมีการร่วมทุนในธุรกิจคลังสินค้าและโรงแรมซึ่งใช้เชนบริหารระดับสากลเข้ามาเพิ่มขึ้น เช่น โรงแรมที่สุขุมวิท 29 ใช้แบรนด์ลูกของเชนฮิลตันเข้ามาบริหาร ซึ่งการเปิดโรงแรมเพิ่มขึ้นจะเป็นรายได้เข้ามาเสริมธุรกิจ SC ทำให้รายได้เติบโตต่อเนื่องหลังจาก 4 ปีที่ผ่านมา SC สามารถทำรายได้เป็นยอดนิวไฮมาโดยตลาด
ทั้งนี้ ข้อมูลจากรายงานผลประกอบการ SC ณ สิ้นปี 2566 ระบุว่า ในปี 2566 ทำยอดขายได้ 27,945 ล้านบาท เป็นรายได้ 24,487 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,482 ล้านบาท
“ในปีนี้และต่อเนื่องไปอีก 5 ปี SC ตั้งเป้าจะทำราได้ 3 หมื่นล้านบาทอย่างต่อเนื่อง โดยแบ่งเป็นแนวราบ 1.8-2 หมื่นล้านบาท และแนวสูงราว 8 พันล้านบาทถึง 1 หมื่นล้านบาท” ซีอีโอ SC ย้ำและว่า ในปี 2567 จะขยายการลงทุนโครงการใหม่ทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบและแนวสูง และมีแผนจะพัฒนาบ้านเดี่ยวหลังใหญ่เปิดแบรนด์ใหม่ด้วยราคาบ้าน 200 ล้านบาทในปี 2568
“แบรนด์ก็เหมือนคนคือ ต้องไม่หยุดนิ่ง การพัฒนา Evolution ช่วยสร้างความหลากหลายสร้างคุณค่าให้แบรนด์เติบโตและแข็งแรงยิ่งขึ้น” ณัฐพงศ์อธิบายว่า ความเชื่อมั่นมาจากคุณภาพและบริการ ซึ่ง SC ทำมาอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนของคุณภาพสินค้าเพื่อบริการลูกค้า และขณะเดียวกันก็คำนึงถึงพนักงาน สิ่งแวดล้อม สังคมและชุมชน เป็นแนวทางการทำธุรกิจบนวิถีของความยั่งยืน “มองมาที่ SC จะเห็นสินค้ามาตรฐาน วิธีคิด คุณค่าและความหลากหลาย” ซีอีโอเจเนอเรชั่น 2 ย้ำและว่า การปรับตัวของ SC ทำมาอย่างต่อเนื่องทั้งในเรื่องเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี และการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
“ลงทุนอย่างเหมาะสมเพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้น้อยกว่า 1.5” แม่ทัพหนุ่มยืนยันแนวทางการดำเนินธุรกิจพร้อมเผยเป้าหมายและแผนธุรกิจปี 2567 ว่า ได้ตั้งเป้ายอดขายนิวไฮไว้ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นแนวราบ 65% แนวสูง 35% และเป้ารายได้รวม 2.65 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมาจากธุรกิจหลากหลาย ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย แนวราบ-แนวสูง (Engine 1) และธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (Engine 2)
ลงทุนใหม่ 2.5 หมื่นล้าน
มูลค่าการลงทุนในปี 2567 วางไว้ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท กระจายในหลากหลายธุรกิจ ทั้งการพัฒนาที่อยู่อาศัย คลังสินค้า โรงแรม อาคารสำนักงาน โดยจะมีจำนวนโครงการรวมทุกธุรกิจ 103 โครงการ แบ่งเป็น Engine 1 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ปี 2567 SC มีโครงการเพื่อขายทั้งสิ้น 86 โครงการ มูลค่ารวม 9.1 หมื่นล้านบาท โดยจะเป็นโครงการเปิดใหม่ 17 โครงการ มูลค่ารวม 3 หมื่นล้านบาท
โครงการเปิดใหม่ในปี 2567 แบ่งเป็นแนวราบ 15 โครงการ มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท โดยมีไฮไลต์แบรนด์ใหม่ชื่อ “Connoisseur” (คอนนาเซอร์) ราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท และ บ้านไลฟ์สไตล์เฉพาะ เช่น SC บ้าน Introvert และ SC บ้าน Extrovert
ส่วนโครงการแนวสูงจะเปิด 2 โครงการ มูลค่า 5 พันล้านบาท ภายใต้แบรนด์ Reference นอกจากนี้ SC จะส่งมอบนวัตกรรม เทคโนโลยีติดตามดูแลความปลอดภัยด้วยระบบ Command Centre และเทคโนโลยีอัจฉริยะผ่าน RueJai Intelligence และยกระดับประสบการณ์ด้วยกิจกรรมที่ออกแบบพิเศษผ่าน Utility Token Morning Coin
สำหรับ Engine 2 ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำจะมีทั้งสิ้น 17 โครงการ จาก 4 ธุรกิจ แบ่งเป็น 1. อาคารสำนักงานให้เช่า มีพื้นที่เช่ารวม 120,000 ตร.ม. จากอาคารสำนักงานรวม 6 อาคาร 2. โรงแรม มีจำนวนห้องพักรวม 545 keys จากโรงแรม 3 โครงการ เปิดแล้วที่ YANH ราชวัตร 78 keys และกำลังจะเปิดปลายปีนี้ Kromo (ครอโม) ทำเลสุขุมวิท 29 ซึ่งบริหารโดย Curio Collection by Hilton จำนวน 306 keys และทำเลพัทยาจะเปิดต้นปี 2568 จำนวน 161 keys
ธุรกิจที่ 3. คลังสินค้า มีพื้นที่เช่ารวม 160,000 ตร.ม. จากคลังสินค้ารวม 4 โครงการ ดำเนินการแล้วที่ทำเลนครสววรค์ 16,000 ตร.ม. กำลังจะเปิดในปี 67-68 อีก 144,000 ตร.ม. ใน 3 ทำเล บางนา กม. 20, กม. 22 และแหลมฉบัง และยังมีการร่วมลงทุนกับสตอเรจ เอเชีย บุกตลาด self-storage ภายใต้แบรนด์ “i-Store” และธุรกิจที่ 4. อสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าในอเมริกา 78 ห้อง ใน 4 ทำเลกลางเมือง Boston
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ณุศาศิริ ดึง Kempinski รุกเขาใหญ่ ต่อยอดธุรกิจสุขภาพ 'PANACEE'