NOBLE เปิดแผนธุรกิจปี 64 เดินหน้าแผนลงทุน 11 โครงการ มูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 4.51 หมื่นล้านบาท มั่นใจรายได้แตะ 1.1 หมื่นล้านบาทและยอดขายพรีเซลล์ 1.6 หมื่นล้านบาท ปูทางสู่ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยติดอันดับ TOP 5 ภายใน 2566
ธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยว่า ในปี 2564 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของการเติบโตและการลงทุนในก้าวที่สำคัญของบริษัท ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรระดับชั้นแนวหน้าที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทได้วางแผนธุรกิจการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2564 จำนวน 11 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 4.51 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 30 ปี ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาในปี 2534 และตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปี 2564 จำนวน 1.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากเป้าหมายรายได้รวมปีนี้ จำนวน 1 หมื่นล้านบาท และตั้งเป้ายอดขาย (pre-sale) จำนวน 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 146% จากปีนี้ที่วางเป้าหมายไว้จำนวน 6.5 พันล้านบาท สำหรับแผนการพัฒนาโครงการในปี 2564 จะแบ่งเป็นโครงการที่พัฒนาโดยบริษัทจำนวน 5 โครงการ โครงการที่ร่วมทุนกับบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 5 โครงการ และโครงการที่ร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ จำนวน 1 โครงการ โดยในครึ่งปีแรก 2564 จะประเดิมเปิดโครงการทั้งคอนโดมิเนียมแนวสูงและแนวราบ จำนวน 4 โครงการ ส่วนโครงการอื่น ๆ อีก 7 โครงการทั้งคอนโดมิเนียม บ้านแฝด และทาวน์โฮม จะทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง 2564 ตามนโยบายการรุกขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น นอกจากนั้น บริษัทยังได้มีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เพื่อลงทุนซื้อที่ดินบริเวณโครงการธนาซิตี้ บางนา ในสัดส่วนการถือหุ้น NOBLE 40%, SPI 41%, และ BTS 19% โดยมีทุนจดทะเบียน 1 พันล้านบาท โดยบริษัทยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยร่วมกันตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในอนาคตเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจต่อไป “บริษัทได้มีการลงนามสัญญาทางธุรกิจกับบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) โดยจะมีสัดส่วนการถือหุ้นโครงการละ 50:50 เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมแนวสูงและแนวราบ บ้านแฝด และทาวน์โฮม รวมจำนวน 4 โครงการมีมูลค่าโครงการกว่า 2.3 หมื่นล้านบาท หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการร่วมทุนพัฒนาโครงการแรกบนทำเลถนนรัชดา-ลาดพร้าว มูลค่าโครงการประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายมากกว่า 50%” ขณะที่ในปี 2564 ถือเป็นก้าวสำคัญของโนเบิลในการสร้างความแตกต่างจากที่ผ่านมา เพราะด้วยความพร้อมหลังการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้ง 3 รายของบริษัทในปัจจุบันถือหุ้นรวมกันประมาณร้อยละ 50 ประกอบด้วย ธงชัย บุศราพันธ์ และ NCROWNE PTE LTD. นำโดย แฟรงค์ ฟง คึ่น เหลียง รวมถึงบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) นับเป็นการผนึกกำลังพันธมิตรที่ลงตัวในการบริหารธุรกิจเพื่อสอดรับกับนโยบายการก้าวสู่ TOP 5 ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยภายในอีก 3 ปีข้างหน้า “บริษัทยังคงมีแผนขยายและต่อยอดฐานลูกค้าของโนเบิล ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง โดยปัจจุบันฐานลูกค้าแบ่งเป็นลูกค้าในประเทศ 60% และต่างประเทศ 40% แม้ว่าที่ผ่านมาลูกค้าอาจชะลอการซื้อ ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์โควิด-19 แต่เรายังครองส่วนแบ่งยอดขายในตลาดรวมของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ได้ถึง 37% จากยอดขายรวมทั้งหมดในอุตสาหกรรมคอนโดมิเนียมเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วง 9 เดือนของปี 2563 ที่ผ่านมา” ด้านความแข็งแกร่งทางฐานะทางการเงินในปี 2564 บริษัทได้ตั้งงบลงทุนเพื่อการพัฒนาโครงการต่างๆ ไว้แล้วกว่า 9 พันล้านบาท ภายใต้การจัดการโครงสร้างทางการเงิน พร้อมสำหรับรองรับแผนการลงทุนครั้งยิ่งใหญ่ โดยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทได้เสนอขายหุ้นกู้จำนวน 1.25 พันล้านบาท ซึ่งเป็นยอดจองสูงกว่าที่ตั้งไว้ จึงต้องมีการนำหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Green Shoe) มาใช้และยังได้เตรียมออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญใหม่ของบริษัทฯ ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 4 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2563 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net IBD/E) ที่ระดับ 1.28 เท่า ซึ่งทำให้บริษัทยังมีความคล่องตัวในการกู้ยืมเงินจากสถาบันทางการเงินได้ นอกจากนี้ คาดว่าการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นของบริษัทฯ ที่ตราไว้ (Par Value) จากเดิมหุ้นละ 3 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท จะสามารถดำเนินการได้ในช่วงต้นปี 2564 ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องของการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯให้แก่นักลงทุนและเป็นปัจจัยในการส่งเสริมให้บริษัทฯมีคุณสมบัติครบถ้วนในการได้รับการพิจารณาเข้าคำนวณในดัชนี SET100 Index อีกด้วย อ่านเพิ่มเติม: เครือสหพัฒน์ เผย “กลุ่มโตคิว” เตรียมลงทุนเพิ่มในโครงการ HarmoniQ 2ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine