บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร หรือ DRT เปิดวิสัยทัศน์ครบรอบ 35 ปีในปี 2563 เตรียมทุ่ม 600 ล้าน ติดตั้งหุ่นยนต์เพิ่ม พร้อมลุยตลาดซ่อมแซมบ้านหลังอสังหาฯ แผ่ว
สาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2562 เป็นปีที่ DRT ทำรายได้และกำไรเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ กว่า 35 ปี และมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
โดยมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 571.54 ล้านบาท เติบโต 35.16% เทียบกับปี 2561 ที่มีกำไรสุทธิ 422.85 ล้านบาท และหากไม่นับรวมกำไรพิเศษจากการขายที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จำนวน 46.31 ล้านบาท และการตั้งสำรองผลประโยชน์พนักงานเกษียณอายุจาก 300 วันเป็น 400 วัน อีกจำนวน 23.04 ล้านบาท บริษัทฯ ยังมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 29.66% เมื่อเทียบกับปี 2561
ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,825.36 ล้านบาท เติบโต 11.11% เมื่อเทียบกับรายได้รวมปี 2561 ที่ทำได้ 4,343.03 ล้านบาท
“ปีที่ผ่านมาเรามีสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์กลุ่มหลังคาและผลิตภัณฑ์กลุ่มผนังในสัดส่วน 50:50 ผลจากสินค้ากลุ่มบอร์ดอยู่ในตลาดได้ค่อนข้างดี เพราะทนทานต่อน้ำและปลวก ขณะที่ความนิยมใช้อิฐมวลเบาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากข้อกำหนดของกระทรวงพลังงานว่าหากจะเป็นอาคารเขียวต้องใช้อิฐมวลเบา เพราะประหยัดพลังงาน ทำให้เป็นแนวโน้มที่ดีกับเรา”
สาธิต กล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ มองว่าตลาดวัสดุก่อสร้างจะมาในเชิงซ่อมแซมและทดแทน เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว และภาวะภัยแล้งที่รุนแรงกว่าปีก่อน ส่งผลให้บ้านสร้างใหม่มีจำนวนไม่มากนัก ตลาดซ่อมแซมและทดแทนจึงมีแนวโน้มเติบโตมากกว่า
“เราโชคดีที่โปรดักต์ของเราเจาะตลาดแนวราบมากกว่ากลุ่มคอนโดมิเนียมซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบมากกว่า”
โดยปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วย การลงทุนติดตั้งระบบหุ่นยนต์ในโรงงานเพิ่มอีกประมาณ 10 ตัว ในไลน์การผลิตสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์และงานพ่นสีวัสดุ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนลงทุนต่อเนื่องในการติดตั้งหุ่นยนต์ 50 ตัวภายในระยะเวลา 5 ปี (2562-2566)
“ปีก่อนเราลงทุนติดตั้งหุ่นยนต์แพ็คและยกกระเบื้อง ทำให้สามารถลดการใช้แรงงานลงถึง 62% เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ 22% นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งหุ่นยนต์บรรจุไม้ฝา 10 ตัว สามารถลดการใช้แรงงานได้ 75%”
นอกจากนี้ ในงบลงทุนดังกล่าวยังประกอบด้วยการลงทุนติดตั้งเครื่องจักรใหม่ในสายการผลิตไฟเบอร์ซีเมนต์ NT-11 เพื่อขยายการผลิตในกลุ่มไม้สังเคราะห์ 5.5 หมื่นตันต่อปี ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จในปลายปีนี้ และเริ่มเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ต้นปี 2564
ทั้งนี้ งบลงทุนที่วางแผนไว้ยังรวมถึงการบำรุงรักษาเครื่องจักรให้อยู่ในสภาพที่ดีและใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ขณะที่แผนการตลาดสำหรับปี 2563 สาธิต ระบุว่า นอกจากปัจจุบันจะมีโซเชียลมีเดียครบทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม, ยูทูบที่มีให้บริการถึง 5 ภาษา ยังวางแผนพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือในการคำนวณราคาเบื้องต้นเพิ่มเติม หลังจากเริ่มให้บริการมาตั้งแต่ 2 ปีก่อน ซึ่งจะสามารถอำนวยความสะดวกสบายให้กับพนักงานขายและลูกค้าทั่วไปได้เพิ่มขึ้น
“แผนการตลาดของเรายังรวมถึงการจัดดิสเพลย์โซนของเราในโมเดิร์นเทรดให้สวยงาม มีสีสันสะดุดตา รวมถึงการไปออกบูธในงานนิทรรศการ และจัดกิจกรรมประกวดออกแบบสถาปัตยกรรมด้วย”
สำหรับตลาดต่างประเทศที่ปีที่ผ่านมามีสัดส่วนอยู่ 18% ของรายได้ โดยส่งออกไปยัง 9 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมา, เวียดนาม, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, ไต้หวัน, จีน และอินเดีย โดยกัมพูชามีสัดส่วนครึ่งหนึ่งของยอดส่งออกทั้งหมด
สาธิต ระบุว่า สำหรับตลาดต่างประเทศจะเน้นทำตลาดสินค้าที่เหมือนกับในประเทศไทย เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านมีสภาพอากาศที่คล้ายคลึงกับในประเทศไทย โดยเวียดนามและฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตดี
“อย่างไรก็ตาม เรายังไม่มีแผนสร้างโรงงานในต่างประเทศ เนื่องจากคนยังเชื่อถือในแบรนด์ และคำว่า Made in Thailand มากกว่า ขณะเดียวกัน ปัจจุบันเรามีโรงงานผลิต 3 แห่งใน 3 จังหวัด คือ สระบุรี กำลังการผลิต 1 ล้านตัน/ปี, เชียงใหม่ กำลังผลิต 5 หมื่นตัน/ปี และขอนแก่น กำลังผลิต 5 หมื่นตัน/ปี โดยโรงงานที่สระบุรีเป็นศูนย์กระจายสินค้าด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นโรงงานที่ตั้งอยู่ในทำเลใกล้กับแนวรถไฟทางคู่ ซึ่งหากสามารถเชื่อมกับรถไฟความเร็วสูงได้ก็จะเป็นผลดีกับเรามาก”
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานที่เติบโตดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีหลัง 2562 (กรกฎาคม - ธันวาคม 2562) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 10 มีนาคม 2563 และจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้
หากรวมกับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรก 2562 (มกราคม - มิถุนายน 2562) อัตรา 0.20 บาทต่อหุ้น บริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นจากผลการดำเนินงานปี 2562 ในอัตรารวม 0.40 บาทต่อหุ้น
“ส่วนทิศทางปีนี้ ตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ในระดับ 25-27% โดยมุ่งเน้นผลักดันยอดขายจากทุกช่องทาง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ยังน่าเป็นห่วงคือกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่ข้อดีคือโปรดักต์ของเราเจาะกลุ่มโครงการอสังหาฯ แนวราบมากกว่า สถานการณ์จึงยังไม่น่าเป็นห่วงมาก แต่ก็ต้องระมัดระวัง” สาธิต กล่าวทิ้งท้าย
- อ่านเพิ่มเติม สาธิต สุดบรรทัด “ตราเพชร” จรัสแสงต่างแดน
ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine