“เศรษฐพล บุตรโท” เดินเครื่อง “มอนท์เอซัวร์” มิกซ์ยูสซูเปอร์ไฮเอนด์บนเกาะภูเก็ต - Forbes Thailand

“เศรษฐพล บุตรโท” เดินเครื่อง “มอนท์เอซัวร์” มิกซ์ยูสซูเปอร์ไฮเอนด์บนเกาะภูเก็ต

“มอนท์เอซัวร์” โครงการมิกซ์ยูสระดับซูเปอร์ไฮเอนด์ มูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาท พื้นที่กว่า 454 ไร่ บนเกาะภูเก็ต กลับมาเดินเกมรุกธุรกิจอีกครั้ง หลังเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ความมุ่งมั่นจากมุมมองที่เปี่ยมด้วยโอกาสของ “เศรษฐพล บุตรโท” กรรมการบริหารมอนท์เอซัวร์



    โครงการมอนท์เอซัวร์ เป็นอาณาจักรมิกซ์ยูสที่เกิดจากความร่วมมือของกลุ่มพันธมิตร 3 ฝ่าย ได้แก่ The Narai Group (ประเทศไทย) ARCH Capital (ฮ่องกง) และ Philean Capital (สิงคโปร์) ในเครือ Pontiac Land Group ชูจุดขายในการซื้อเป็นที่อยู่อาศัยหรือเป็นบ้านตากอากาศหลังที่สอง แม้จะเจอวิกฤตโควิดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

    เศรษฐพล บุตรโท กรรมการบริหารมอนท์เอซัวร์ ผู้ที่เข้ามารับผิดชอบโครงการมิกซ์ยูสระดับซูเปอร์ไฮเอนด์ มูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาท พื้นที่กว่า 454 ไร่ หาดกมลา บนเกาะภูเก็ต โดยเริ่มตั้งแต่การเดินสำรวจพื้นที่ จนถึงวันนี้ที่โครงการสำเร็จตามมาสเตอร์แพลนได้ร้อยละ 70 ถือเป็นความภาคภูมิใจ ที่ได้เริ่มเห็นคอมมูนิตี้แห่งนี้ มีครอบครัวเข้ามาอยู่อาศัยด้วยกันอย่างมีความสุข

    “มอนท์เอซัวร์ เป็นโครงการใหญ่ที่สุดที่เคยทำ 454 ไร่ ก็ไม่ง่าย แต่เรามองเป็นความท้าทาย ยิ่งมีสเกลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ มีโอกาสน้อยที่จะได้ทำ เราก็เริ่มสำรวจพื้นที่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถือเป็นประสบการณ์ที่สนุกมาก เพราะถ้าไม่เข้าใจพื้นที่จริงๆ จะไม่สามารถปลดปล่อยศักยภาพได้ว่ามีน้ำตกสวยแค่ไหน ทำให้เรานึกได้ว่าจะสามารถพัฒนาศักยภาพของพื้นที่อย่างไรได้อีก” เศรษฐพลกล่าว

    มอนท์เอซัวร์ เป็นโครงการตั้งอยู่บนหาดกมลา ครอบคลุมตั้งแต่บริเวณเชิงเขาไปจนถึงพื้นที่หน้าหาด ประกอบไปด้วยโครงการระดับลักชัวรี ทั้งคอนโดมิเนียมในรูปแบบรีสอร์ตและคอนโดมิเนียมริมชายหาด โรงแรม 5 ดาว วิลล่าระดับไฮเอนด์ ร้านค้า แหล่งพบปะสังสรรค์ และบีชคลับ คาเฟ่ เดล มาร์ ที่มีสาขาทั่วโลก 12 แห่ง


ก้าวผ่านวิกฤตสู่โอกาส


    เศรษฐพล กล่าวว่า โครงการมอนท์เอซัวร์ หาดกมลา ภูเก็ต เป็นโครงการที่พัฒนาขึ้นก่อนโควิด เริ่มตั้งแต่ปี 2012 ที่เข้าซื้อที่ดิน วางมาสเตอร์แพลน และเริ่มก่อสร้างในปี 2014 เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่ต้องกำหนดวิสัยทัศน์และมาสเตอร์แพลนให้ชัดเจน ขณะนั้นภูเก็ตมีการเติบโตสูงมากมีการขยายสนามบิน เฟส 2 เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจาก 6 ล้าน เป็น 12 ล้านคน ซึ่งตัวเลขนักท่องเที่ยวก่อนโควิดดีมาก ประมาณ 10 ล้านคนต่อปี

    “วิชั่นในการพัฒนาโครงการมอนท์เอซัวร์ค่อนข้างชัดเจน เราอยากสร้างลักชัวรี เวิลด์คลาส ไลฟ์สไตล์ คอมมูนิตี้ ซึ่งต้องลงรายละเอียดในทุกส่วน ทั้งโรงแรมระดับ 5 ดาว แบรนด์ที่พักอาศัยระดับ 5 ดาว บีช คลับ และไลฟ์สไตล์ คอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งได้ดำเนินการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามแผนแม้จะอยู่ในช่วงโควิด”

    ก่อนโควิด มอนท์เอซัวร์ ได้เปิดจองโครงการทวินปาล์ม คอนโดมิเนียม ที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว มียอดจอง 60-70 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เปิดให้บริการแล้วเช่นเดียวกันและกำลังเตรียมเปิดโครงการเอ็มแกลเลอรี เรสซิเดนซ์ บริหารโครงการโดยเครือแอคคอร์ (Accor) พอเกิดโควิด-19 นักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปเหลือเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น แต่โรงแรมและคอนโดมิเนียมยังเปิดให้บริการตามปกติ

    เศรษฐพล กล่าวว่า ในช่วงโควิด โรงแรมในโครงการยังคงเปิดให้บริการตามปกติ แม้จะมีนักท่องเที่ยวไม่มากนักเพราะเชื่อว่าหลังโควิดการท่องเที่ยวจะต้องกลับมาและกลับมาได้เร็ว โดยเฉพาะภูเก็ต ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยว



    ตัวเลขล่าสุดแม้การท่องเที่ยวจะฟื้นตัวประมาณร้อยละ 25 แต่อัตราเข้าพัก โดยเฉพาะที่หาดกมลา ภูเก็ต สูงถึงร้อยละ 80 เป็นสัญญาณที่สะท้อนให้เห็นว่าทำเลที่มีศักยภาพจะตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวได้ดีที่สุด

    “สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่าหากเราลงทุนในแบรนด์ที่มีความมั่นคง แม้จะเกิดวิกฤตก็สามารถรอดพ้นได้และฟื้นตัวได้เร็ว สิ่งที่เห็นจากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจะเลือกทำเลที่มีศักยภาพที่สุดทำให้อัตราการเข้าพักที่หาดกมลามีสัดส่วนที่สูง ขณะที่ทำเลอื่นๆ ยังทยอยฟื้นตัว”


มั่นคงในวิชั่นและแบรนด์ที่มีศักยภาพ

 
    เศรษฐพล กล่าวว่า การกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของโครงการมอนท์เอซัวร์ เป็นบทพิสูจน์ถึงการวางตำแหน่งของโครงการและเดินตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้อย่างเคร่งครัด สะท้อนกลับมาที่ผลจากการลงทุน

    ซึ่งทิศทางของมอนท์เอซัวร์ ยังคงให้ความสำคัญกับการหาพันธมิตรที่แข็งแรงทั้งในเรื่องของแบรนด์และกลยุทธ์ที่จะช่วยกันยกระดับโครงการมอนท์เอซัวร์ให้เป็นตอบโจทย์การลักชัวรี เวิลด์คลาส ไลฟ์สไตล์ คอมมูนิตี้

    ปัจจุบัน ความคืบหน้าของแต่ละโครงการในมอนท์เอซัวร์ เช่น ทวินปาล์ม คอนโดมิเนียม มูลค่า 2,000 ล้านบาท มียอดขายราวร้อยละ 60-70  โครงการเอ็มแกลเลอรี เรสซิเดนซ์ ที่เพิ่งเริ่มเปิดขายแต่มียอดจองแล้วร้อยละ 40 โดยเฉพาะลูกค้าจากโซนยุโรป

    ส่วนคนไทยมีจองเข้ามาเช่นเดียวกัน เป็นสัดส่วนไม่น้อยร้อยละ 30-40 ซึ่งก่อนหน้านี้อัตราการจองอสังหาริมทรัพย์ของคนไทยมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 5-10 เท่านั้น

    “สิ่งที่เปลี่ยนไปหลังโควิด ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าคนไทยหรือต่างชาติ ต้องการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีพื้นที่โล่ง หลีกเลี่ยงความแออัด อย่างโครงการเอ็ม แกลเลอรี เป็นห้องขนาดใหญ่ อยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 21 ไร่ เป็นพื้นที่สวน 10 ไร่ และมีทะเลสาบอีก 7 ไร่ สามารถมองเห็นวิวภูเขาได้ และยังมีพื้นที่ราบและเนินเขาให้ค่อยๆ พัฒนาต่อไป เพราะการพัฒนาโครงการระดับ 15,000 บาท มองว่าเป็นเกมยาว”

    สำหรับ เศรษฐพล มองว่า หลังจากนี้ จะมีความท้าทายใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังโควิดจะมีโจทย์ใหม่เข้ามา ทั้งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของลูกค้า เทรนด์ใหม่และเซกเมนต์ใหม่เพิ่มขึ้น ในฐานะนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องตามให้ทัน และมองหาโอกาสในการลงทุน

    “สิ่งสำคัญ เราต้องมองให้ออกว่าอะไรคือปัญหา อะไรคือโอกาส ทัศนคติในการมองเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเรามองเป็นโอกาส เราจะสามารถหาช่องทางที่จะสร้างโอกาสได้ โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์เข้ามาบริหารจัดการให้ประสบสำเร็จ” เศรษฐพลกล่าวทิ้งท้าย


อ่านเพิ่มเติม: "อัปเดตเทรนด์ธุรกิจปี 66" รายเล็กยังฟื้นช้า



ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine