"วชิรวิทย์ พูน" เจน 2 AEG สร้างการเติบโตด้วยนวัตกรรมระบบความปลอดภัยสูง - Forbes Thailand

"วชิรวิทย์ พูน" เจน 2 AEG สร้างการเติบโตด้วยนวัตกรรมระบบความปลอดภัยสูง

ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความผันผวนสูง และมีความไม่แน่นอน ธุรกิจด้านความปลอดภัยและการประกันภัยกลับเติบโตสูง ยิ่งธุรกิจมีความเสี่ยงมากเท่าใด การดูแลความปลอดภัยและการประกันภัยยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น นั่นทำให้ธุรกิจของ AEG หรือ แองโกลอีสต์กรุป ภายใต้การนำของ "วชิรวิทย์ พูน หรือ คุณจ๋าย พูน" รองประธานกรรมการบริหาร AEG ก้าวสู่บริษัทที่มีธุรกิจในกว่า 6 ประเทศ ทั่ว East Asia และมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

คุณจ๋าย เป็นทายาทรุ่นที่ 2 ของบริษัท แองโกลอีสต์กรุป จำกัด ก่อตั้งในปี 2527 ที่ฮ่องกง โดยประธานบริษัท "เคเค พูน" และ "ซีเอ็ม พูน" มีวิสัยทัศน์ที่เล็งเห็นความสำคัญของการปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน จึงเปิดบริษัทเพื่อให้บริการด้านความปลอดภัยและประกันวินาศภัย ที่ดูแล คุ้มครอง และชดเชยหากเกิดการสูญเสียต่อทรัพย์สินและของมีค่าต่างๆ ของลูกค้า ครบจบในที่เดียว และ 3 ปีต่อมา ได้เริ่มดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งวันนี้ดำเนินธุรกิจมาครบ 37 ปี

"AEG เราเริ่มจากการเป็นธุรกิจครอบครัว แต่ปัจจุบันภายใต้การบริหารงานของเจนเนอเรชั่นที่ 2 เรามีแนวทางการทำงานที่แตกต่างออกไป และมองไปถึงอนาคตที่ต้องการจะเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการดึงมืออาชีพเข้ามาบริหาร และขยายธุรกิจทั้งในประเทศ และภูมิภาคอาเซียน ปัจจุบันได้เปิดดำเนินธุรกิจใน 6 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย จีน และล่าสุด คือ เวียดนาม" คุณจ๋ายกล่าวถึงการเส้นทางการเติบโตของธุรกิจ AEG ในช่วงที่ผ่านมา


​วชิรวิทย์ พูน หรือ คุณจ๋าย พูน รองประธานกรรมการบริหาร AEG

​เติบโตด้วยนวัตกรรมและความไว้วางใจจากลูกค้า

คุณจ๋าย กล่าวว่า หากย้อนกลับไปประมาณปี 2000 พอพูดถึงการประกันวินาศภัย ความปลอดภัยของทรัพย์สิน ผู้บริโภคยังไม่เข้าใจ หรือมีมุมมองในเรื่องนี้แตกต่างไป แต่ช่วง 20 ปีหลัง ด้วยมุมมองของคนรุ่นใหม่ เจนเนอเรชั่นใหม่ที่เข้ามาบริหารธุรกิจ เห็นความสำคัญในการประกันความปลอดภัยของทรัพย์สินทั้งในส่วนของกิจการและส่วนตัวมากขึ้น รู้สึกเกิดความสบายใจ หากทรัพย์สินและชีวิตมีคนรับผิดชอบดูแล และผู้บริหารองค์กรจะได้โฟกัสการเติบโตธุรกิจ โดยที่มี AEG คอยดูแลหลังบ้านให้ ทำให้ธุรกิจของ AEG เติบโตสูงไปด้วย

"ช่วงแรกที่เข้าตลาดไทย มีผู้ให้บริการในอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกับเรา และเราไม่ใช่รายแรกที่ให้บริการด้านนี้ เราจึงต้องมีข้อแตกต่าง สิ่งที่เราเสนอให้ลูกค้า เราดูที่ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ดูจาก Pain Point ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะประเด็นที่ว่าแม้จะมีระบบรักษาความปลอดภัย แต่บางครั้งเหตุยังเกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อไม่สามารถระงับเหตุได้ และมีความเสียหายอยู่ เราก็เสนอบริการประกันภัยให้ลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเสียหาย 20 ล้าน ก็จ่าย 20 ล้าน เสียหาย 100 ล้าน ก็จ่าย 100 ล้าน เสียหายเท่าไร เราก็จ่ายครบเท่านั้น" คุณจ๋ายระบุ

นั่นคือบริการที่ AEG การันตีให้กับลูกค้า และได้รับการยืนยันด้วยรางวัลสูงสุดด้านความปลอดภัย (Gold Award) จากกรมตำรวจฮ่องกง ซึ่งได้รับการยอมรับในเรื่องความโปร่งใสมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และ AEG ได้รับการันตีอย่างต่อเนื่องตลอด 30 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ AEG ยังได้รับการจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือ ด้วยเรตติ้ง AA- จากสถาบันจัดอันดับระดับโลก เช่น Standard & Poor's (S&P) ในการเป็นบริษัทที่มีการเคลมมูลค่าความเสียหายอย่างเร็วที่สุดเพียง 3 สัปดาห์และได้รับชดเชยเต็มวงเงินตามมูลค่าความเสียหายจริง

ปัจจุบัน AEG ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอัญมณี และเครื่องประดับ เพชร พลอย รวมถึงโรงงานผลิต และร้านทองแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย คิดเป็นสัดส่วนถึง 90% ที่เป็นลูกค้า AEG และอีกส่วนเป็นอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เน้นความปลอดภัยสูง รวมถึงบ้านบุคคลสำคัญทั้งในแวดวงธุรกิจและการเมือง

คุณจ๋าย กล่าวว่า นอกจากรางวัลที่ช่วยการันตีความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าแล้ว สิ่งสำคัญที่จะเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงได้ คือการสร้างระบบป้องกันความเสียหายและความสูญเสียที่เกิดจากอาชญากรรม การโจรกรรมต่างๆ ซึ่งบริษัทได้มีการออกแบบเทคโนโลยี รวมถึงการวิจัยและพัฒนาระบบป้องกันความปลอดภัย ร่วมกับผู้ผลิตเทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้เกิดความแตกต่าง จับได้ทุกรายละเอียด และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละราย เพื่อป้องกันความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น โดยล่าสุด ได้นำระบบ AI เข้ามาพัฒนาระบบสแกนหน้า หรือ AEG CAP LOCK ที่มีข้อมูลอาชญากรทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และภูมิภาคเอเชีย ช่วยแจ้งเตือนบุคคลที่น่าสงสัย ก่อนจะเกิดเหตุอาชญากรรมขึ้น


วชิรวิทย์ พูน หรือ คุณจ๋าย พูน รองประธานกรรมการบริหาร AEG

ความสบายใจของลูกค้า คือเป้าหมายของความสำเร็จ

ที่ห้องทำงานของรองประธานกรรมการบริหาร AEG จะมีคำภาษาอังกฤษที่ว่า "EASE" ที่มีความหมายทั้งความพึงพอใจ ความสบายใจ การผ่อนคลายความกังวล ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักของ AEG ที่นำมาปรับใช้กับการดูแลลูกค้า รวมถึงการดูแลพนักงาน ซึ่ง คุณจ๋าย มองว่าเป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกับ

"การดูแลลูกค้าให้ได้รับความสบายใจ ทีมงานและพนักงานต้องมีความสุข ในฐานะผู้บริหารต้องดูแลพนักงานให้สามารถทำงานได้อย่างสบายใจ มีความสุข มีความก้าวหน้าและเติบโต พนักงานคนไทยยิ่งทำมากยิ่งได้มาก คือเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันการเติบโตขององค์กร" คุณจ๋ายกล่าว ซึ่งแนวทางการพัฒนาบุคลากร เขาได้รับแรงบันดาลใจ จากคำกล่าวของ Richard Branson ประธานบริษัท Virgin ที่ว่า "Train people well enough so they can leave. Treat them well enough so they don’t want to." พัฒนาคนของเราให้เก่งจนสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ และดูแลพวกเขาให้ดีจนพวกเขาไม่อยากจะจากไปไหน

โลกยิ่งมีความผันผวนซับซ้อน และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของทรัพย์สินเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่กลับกลายเป็นโอกาสของธุรกิจ AEG ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ย 35% ต่อปี และบริษัทมองถึงมีรายได้แตะระดับ 700 ล้านบาทในปีนี้ และ คุณจ๋าย ยังเชื่อว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า เทรนด์ด้านธุรกิจความปลอดภัยและการประกันวินาศภัยยังเติบโตได้ในอัตราไม่ต่ำกว่า 30 – 40% ต่อปี และด้วยแรงขับเคลื่อนจากบุคลากรของ AEG จะทำให้บริษัทบรรลุเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต