ออราเคิล เผยผลวิจัยชาวเอเชียกว่า 6,000 คน ล่าสุด พบว่า ผู้คนกำลังหันมาใช้หุ่นยนต์เพื่อส่งเสริมอาชีพการงาน หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อชีวิตในเชิงลบ ทั้งความไม่มั่นคงการเงิน การเงิน รู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยก
ออราเคิล และ เวิร์กเพลส อินเทลลิเจนซ์ (Workplace Intelligence) บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคล ได้ทำงานวิจัย และศึกษาพนักงาน ผู้จัดการ หัวหน้าแผนกทรัพยากรบุคคล และผู้บริหารระดับสูงจำนวนมากกว่า 14,600 คนใน 13 ประเทศ รวมถึงประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น ออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี และสิงคโปร์ ชี้ว่าผู้คนทั่วโลกต่างรู้สึกว่ากำลังติดอยู่กับภาวะน่าเบื่อหน่ายที่ไม่สามารถหาทางออกได้ทั้งในเรื่องอาชีพการงานและเรื่องส่วนตัว แต่ยังมีความพร้อมที่จะกลับมาควบคุมการใช้ชีวิตให้เข้าที่เข้าทางในอนาคตข้างหน้า ทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ ออราเคิล คอร์ปอเรชั่น ประเทศไทย กล่าวว่า มาตรการล็อกดาวน์และความผันผวนที่ยาวนานกว่าหนึ่งปีจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้คนทำงานเกิดความสับสนทางอารมณ์ รู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงานของตัวเองได้ โดยบริษัทนายจ้างต่างตระหนักถึงเรื่องนี้ และเริ่มดำเนินการเพื่อดูแลสุขภาพจิตของพนักงาน และ หากต้องการรักษาและพัฒนาบุคลากรผู้มีความสามารถภายใต้สภาวะการทำงานที่กำลังเปลี่ยนแปลงนี้ นายจ้างต้องใส่ใจต่อความต้องการของลูกจ้างมากกว่าในอดีต และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาในด้านบุคลากรต่างๆให้มากขึ้น อยากได้หุ่นยนต์ผู้ช่วยทำงาน ผลสำรวจ พบว่าร้อยละ 89 ของพนักงานในเอเชียแปซิฟิกต้องการทักษะใหม่และใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการพัฒนาตัวเองในอนาคต ร้อยละ 82 ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตตามคำแนะนำของหุ่นยนต์ ร้อยละ 88 เชื่อว่าหุ่นยนต์สามารถส่งเสริมหน้าที่การงานของพวกเขาได้ดีกว่ามนุษย์ ด้วยการให้คำแนะนำที่ปราศจากอคติ อย่างไรก็ตาม ผู้คนยังเชื่อมั่นว่ามนุษย์มีบทบาทสำคัญมากในการพัฒนาอาชีพ โดยเชื่อว่ามนุษย์สามารถให้การสนับสนุนได้ดีกว่าด้วยการให้คำปรึกษาตามประสบการณ์ของแต่ละคน (45%) การบอกจุดแข็งและจุดอ่อน (43%) และการพิจารณานอกเหนือจากข้อมูลใบสมัครงานเพื่อแนะนำตำแหน่งงานที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล (39%) นอกจากนี้ร้อยละ 91 เชื่อว่าบริษัทควรรับฟังความต้องการของพนักงานให้มากกว่านี้ และ ร้อยละ 61 อยากทำงานกับบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยอย่างปัญญาประดิษฐ์มาส่งเสริมการเติบโตในอาชีพการงาน ปีนี้คนทำงานเครียดสุด ผลำรวจ พบว่า ในปี 2021 ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 63 มองว่าเป็นปีที่ตึงเครียดที่สุดในการทำงาน โดยกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด (ร้อยละ 55) ต้องต่อสู้กับปัญหาสุขภาพจิตจากเรื่องงานในปี 2021 มากกว่าปี 2020 ที่ผ่านมา โดยผู้คนรู้สึกถึงการไม่สามารถควบคุมการใช้ชีวิตได้ ทั้งในเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานเพิ่มขึ้นมากกว่าครึ่งหนึ่งหลังจากเกิดการแพร่ระบาด โดยคนส่วนใหญ่รู้สึกสูญเสียการควบคุมเรื่องชีวิตส่วนตัว (ร้อยละ 47) อนาคต (ร้อยละ 46) และการเงิน (ร้อยละ 45) ผู้คนกว่าร้อยละ 80 ได้รับผลกระทบเชิงลบจากปีที่แล้ว หลายคนมีความเดือดร้อนทางการเงิน (ร้อยละ 31) รู้สึกทรมานจากสภาพจิตใจที่หดหู่ (ร้อยละ 29) ขาดแรงจูงใจในการทำงาน (ร้อยละ 25) รู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าเดิม (ร้อยละ 25) และรู้สึกถูกตัดขาดไม่สามารถชีวิตของตัวเองได้ (ร้อยละ 22) นอกจากนี้ร้อยละ 77 รู้สึกติดอยู่ในภาวะน่าเบื่อหน่ายในด้านชีวิตส่วนตัว โดยวิตกกังวลกับอนาคตของตนเอง (ร้อยละ 32) ติดอยู่กับกิจวัตรประจำวันเดิมๆ (ร้อยละ 27) และเดือดร้อนด้านการเงิน (ร้อยละ 25) อย่างไรก็ตามในทางกลับกัน ผู้คนโดยส่วนใหญ่ (ร้อยละ 78) รู้สึกว่าบริษัทตัวเองเริ่มใส่ใจดูแลสุขภาพจิตของพนักงานมากกว่าก่อนการแพร่ระบาด ทั้งนี้ เมื่อก้าวสู่ปี 2022 สิ่งที่ผู้คนให้ความสำคัญมากที่สุด คือการสร้างอาชีพ โดยมีคนจำนวนมากยอมเสียประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น การจัดสรรงานที่ยืดหยุ่น (ร้อยละ 60) เวลาพักร้อน (ร้อยละ 55) แม้แต่เงินโบนัส (ร้อยละ 52) หรือหักเงินเดือนบางส่วน (ร้อยละ 48) เพื่อให้ได้โอกาสการทำงานที่มากขึ้น ทวีศักดิ์ กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นถึงแนวทางใหม่ๆ ของการทำงานในอนาคต ถึงแม้ว่าคนส่วนมากจะรู้สึกยึดติดอยู่กับสิ่งต่างๆ ในชีวิต วิตกกังวลถึงอนาคต ติดอยู่กับกิจวัตรประจำวันเดิมๆ และรู้สึกโดดเดี่ยว แต่บรรดาพนักงานกลับรู้สึกมีพลังในการเรียกร้อง ไม่ลังเลที่จะมองหาความสำเร็จ เมื่อผู้คนเริ่มเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ ในชีวิตใหม่ “ดังนั้นองค์กรในประไทยจำเป็นต้องกระตือรือร้นมากขึ้น ที่จะรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้ในองค์กร โดยบริษัทต้องเพิ่มการดูแลพนักงานในด้านต่างๆ เป็นสองเท่าเพื่อพัฒนาทักษะใหม่ และสามารถแนะนำสายงานที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อให้พนักงานสามารถกลับมาควบคุมการใช้ชีวิต หน้าที่การงานได้เหมือนเดิม” ทวีศักดิ์ กล่าว อ่านเพิ่มเติม: ‘อนันดา’ เตรียมออกหุ้นกู้มูลค่าไม่เกิน 5 พันล้านบาท เสนอขายต้นปี 2565ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine