ราว 2-3 ปีที่ผ่านมา คนไทยตื่นตัวด้านการลงทุนมากขึ้น สังเกตได้จากจำนวนบัญชีลงทุนหลักทรัพย์รายบุคคลที่เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2563 ที่ผ่านมา เกือบ 6 แสนบัญชี ปัจจุบันมีบัญชีลงทุนรายบุคคลราว 1.8 ล้านบัญชี สแทชอเวย์ สตาร์ทอัพด้านการลงทุนจากสิงคโปร์ได้ฤกษ์บุกไทย ภายใต้การนำของ ‘ยศกร นิรันดร์วิชย’ CFA กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด

ชี้โอกาสการลงทุนของคนไทย
ยศกร มีจุดเริ่มต้นจากครอบครัวนักธุรกิจและวิถีสตาร์ทอัพ คุณพ่อและคุณแม่เป็นนักธุรกิจด้าน Interior ส่วนพี่ชายจบจาก Business School ชื่อดังของสหรัฐฯ และก็ยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Startup เกี่ยวกับการแพทย์อีกด้วย วิกฤตเศรษฐกิจ 2551 ทำให้สนใจด้านการเงินจริงจัง เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจเรื่องการลงทุนเป็นอย่างมาก เริ่มจากการเป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จากเงินลงทุนเริ่มต้น 50,000 บาท จนสามารถได้ผลตอบแทนหลักล้านบาท และตัดสินใจเรียนรู้ในแวดวงการลงทุนจริงจัง โดยสอบ CFA จนครบทั้ง 3 ระดับและในที่สุดก็ได้เป็น CFA Charterholder อย่างไรก็ตาม เขาตัดสินใจเรียนต่อและงานแรกหลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขา MBA ที่ INSEAD (Institut Europeen d'Administration des Affaires) ประเทศฝรั่งเศส คือการเป็น Marketing Executive ที่ SCG ซึ่งเป็นทีมพัฒนาตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศ ทำให้เบนเข็มจากการเป็น Banker ใน Wall Street และหันมาสนใจทำงานด้าน Management Consultant ภูมิภาคนี้อย่างจริงจัง เพราะอยากเป็นส่วนช่วยพัฒนาธุรกิจในภูมิภาคของเราให้เติบโตมากยิ่งขึ้น ทำให้ได้เรียนรู้ในสายงานการวางแผนกลยุทธ์ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยวางแผนธุรกิจ

StashAway เปิดกว้างด้านการลงทุน
StashAway เปิดให้บริการแล้วในสิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ไทย และ Dubai International Financial Centre ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พร้อมทั้งผ่านการระดมทุนมาแล้ว 6 รอบ (Series D) โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุน Venture Capital ระดับโลกอย่าง Sequoia Capital India, Eight Roads Ventures และ Square Peg โดยในปี 2563 StashAway ได้รับการยอมรับจาก World Economic Forum ในฐานะ Technology Pioneer ที่มีบทบาทในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อการพัฒนาธุรกิจและสังคมของโลก ยศกร กล่าวว่า ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศของคนไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ทางเลือกในการลงทุนต่างประเทศยังมีจำกัด มีความซับซ้อน และมีค่าธรรมเนียมสูง ซึ่งทำให้การกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนของคนไทยยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร โดยประเทศไทยยังมีสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่กระจุกตัวอยู่ในประเทศค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย “สแทชอเวย์ จึงอยากเข้ามาช่วยให้นักลงทุนไทยก้าวข้ามขีดจำกัดต่างๆ เหล่านี้ โดยการมอบเทคโนโลยีที่ช่วยให้การลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกเป็นเรื่องง่ายเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจที่เติบโตสูง มีการบริหารพอร์ตการลงทุนที่มีประสิทธิภาพตามการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรฐกิจ และสามารถควบคุมความเสี่ยงได้อย่างแท้จริง” ยศกรกล่าว StashAway เพิ่มทางเลือกในการลงทุน โดยนำเสนอพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกตามระดับความเสี่ยงโดยมีให้เลือกถึง 12 ระดับ ลูกค้าสามารถสร้างพอร์ตได้หลายพอร์ตเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นพอร์ตแบบ General Investing เพื่อลงทุนให้เงินงอกเงยในระยะยาวหรือพอร์ตแบบ Goal-based Investing เพื่อลงทุนตามเป้าหมายทางการเงินเฉพาะซึ่งมีให้เลือกถึง 8 เป้าหมายและยังสามารถปรับระดับความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุนได้ตลอดเวลา ลูกค้าสามารถเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชันเพื่อเริ่มลงทุนกับ StashAway ได้ง่ายๆ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชันผ่านทาง App Store และ Play Store “เราเป็นองค์กรที่มี Growth Mindset เน้นการดำเนินงานที่โปร่งใส และจริงใจ มุ่งสู่เป้าหมายทางการเงินของลูกค้าเป็นสำคัญ ทุกคนในทีมมีเป้าหมายเดียวกัน มุ่งสร้างการเติบโตไปพร้อมกับลูกค้าของเรา โดยหวังว่าภายใน 2 ปี StashAway จะเติบโตแบบกระโดด ขึ้นเป็นผู้เล่นเบอร์ 1 หรือ 2 ในตลาดประเทศไทย” ยศกรกล่าวทิ้งท้าย อ่านเพิ่มเติม: “ถิรนันท์ อรุณวัฒนกูล” ปั้น มันนิกซ์ บริษัทลูก SCB สู่ยูนิคอร์นไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine