ดีลอยท์ เผย อุตสาหกรรมนาฬิกาสวิส โตสองเท่าใน 7 ปี ข้างหน้า - Forbes Thailand

ดีลอยท์ เผย อุตสาหกรรมนาฬิกาสวิส โตสองเท่าใน 7 ปี ข้างหน้า

FORBES THAILAND / ADMIN
11 Jan 2023 | 04:46 PM
READ 2866

ดีลอยท์ สวิสเซอร์แลนด์ เผย อุตสาหกรรมนาฬิกาสวิส โตต่อเนื่อง คาดช่องทางอี-คอมเมิร์ซดีดตัว 2 เท่า ด้านตลาดนาฬิกามือสองเติบโตไปอยู่ที่ 35 พันล้านฟรังก์สวิสทั่วโลก ภายในปี 2573


    ดีลอยท์ สวิสเซอร์แลนด์ เผย การศึกษาอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิส ฉบับที่ 9 โดยอ้างอิงจากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูง ในอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิส จำนวน 70 ราย ผ่านช่องทางออนไลน์ซึ่งดำเนินการระหว่างกลางเดือนสิงหาคมถึงกลางเดือนกันยายน 2565 รวมถึงการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม

    และสำรวจผู้บริโภคในตลาดส่งออกนาฬิกาสวิสชั้นนำและตลาดภายในประเทศในช่วงเวลาเดียวกันจำนวน 5,579 ราย บนช่องทางออนไลน์ ประกอบด้วยผู้บริโภคในจีน ฝรั่งเศส เยอรมนี ฮ่องกง อิตาลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา

    การศึกษาอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิสของดีลอยท์ฉบับนี้พบว่า จากสัดส่วนผู้บริโภคถึง 2 ใน 5 มีแผนซื้อนาฬิกาผ่านช่องทางออนไลน์ทำให้ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซของอุตสาหกรรมนาฬิกามีแนวโน้มเติบโตขึ้นเป็นสองเท่าภายในสิ้นทศวรรษ 2030

    ในขณะเดียวกัน นาฬิกามือสองยังเป็นที่ต้องการสูง โดยผู้บริโภคคิดเป็น 1 ใน 3 (ร้อยละ 31) มีแผนที่จะซื้อนาฬิกามือสองในอีก 12 เดือนข้างหน้าและสัดส่วนที่ว่าจะยิ่งสูงขึ้นในกลุ่มผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี

โดยเกือบครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามในกลุ่มนี้ (ร้อยละ 48) มีแผนที่จะซื้อนาฬิกามือสองทำให้ตลาดนาฬิกามือสองมีแนวโน้มเติบโตจาก 20 พันล้านฟรังก์สวิสเป็น 35 พันล้านฟรังก์สวิสภายในปี 2573 คิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของตลาดหลัก

    ผู้บริโภคยังมองว่านาฬิกาหรูเป็นสินค้าเพื่อการลงทุนมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในจีนและฮ่องกง โดยมีผู้ซื้อนาฬิกาหนึ่งในสามที่ตัดสินใจซื้อเพื่อการลงทุนหรือเพื่อการขายต่อจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและการที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความเข้าใจในเทคโนโลยีดิจิทัลกลายมาเป็นกลุ่มผู้ซื้อหลักของนาฬิกาหรู

    อุตสาหกรรมนาฬิกาสวิสจึงต้องพิจารณาขยายช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ โดยคำนึงถึงความนิยมเลือกซื้อนาฬิกามือสองที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้บริโภคและแนวโน้มของการซื้อนาฬิกาเพื่อการลงทุนที่กำลังเติบโต

    ในแง่ของการเติบโตผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่เชื่อว่าสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดส่งออกของอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิส ที่สำคัญที่สุดนั้นจะยังคงเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงต่อไป ตามมาด้วยประเทศอินเดียและประเทศจีน

    ทั้งนี้ การคาดการณ์การเติบโตนั้นจะแตกต่างกันไปอย่างมากตามแต่ละภูมิภาค ตัวอย่างเช่น คาดว่ายอดจำหน่ายในฮ่องกงจะยังคงลดลงต่อไปหรือซบเซา ในขณะที่ผู้บริหารเพียงร้อยละ 57 เชื่อว่าตลาดจีน จะเติบโต ซึ่งต่างกับในกรณีของตลาดอเมริกาเหนืออย่างสิ้นเชิง เพราะผู้บริหารมากกว่าสามในสี่ (ร้อยละ 77) คาดว่าตลาดนี้จะเติบโต


อี-คอมเมิร์ซมาแรง


เมื่อพูดถึงการซื้อนาฬิการ้อยละ 40 ของผู้บริโภคทั้งหมดและร้อยละ 45 ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี มีแนวโน้มที่จะซื้อนาฬิกาใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์ อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารในอุตสาหกรรมนาฬิกาส่วนใหญ่เชื่อว่าการจำหน่ายหน้าร้านแบบเดิมจะยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่สำคัญที่สุดต่อไปในอนาคตอันใกล้

“ผู้บริโภคจำนวนสองในห้าต้องการซื้อนาฬิกาผ่านช่องทางออนไลน์ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่แบรนด์ต่างๆ ต้องหันมาขยายช่องทางอี-คอมเมิร์ซให้มากขึ้นและเติมเต็มตัวเลือกสินค้าบนช่องทางออฟไลน์ แม้จะมีมากมายอยู่แล้วเพื่อให้เป็นไปตามความคาดหวังของลูกค้า” Karine Szegedi Head of Consumer and Fashion & Luxury ประจำดีลอยท์ สวิสเซอร์แลนด์ กล่าวและเสริมว่า

    “จากการประมาณการของเรา ส่วนแบ่งการตลาดของช่องทางจำหน่ายนาฬิกาออนไลน์มีแนวโน้มที่จะดีดตัวขึ้นสองเท่าเป็นร้อยละ 30 ภายในปี 2573”


นาฬิกาในฐานะสินค้าเพื่อการลงทุน


    ในภาพรวมแล้ว ผู้บริโภคเกือบ 1 ใน 4 (ร้อยละ 23) ซื้อนาฬิกาเพื่อการลงทุนและขายต่อ โดยเห็นได้ชัดในสิงคโปร์ (ร้อยละ 33) ฮ่องกง (ร้อยละ 32) และจีน (ร้อยละ 29) ซึ่งอาจอธิบายเหตุผลว่าทำไมผู้บริโภคในตลาดภูมิภาคเอเชียบางแห่งจึงเต็มใจที่จะจ่ายแพงกว่าเพื่อซื้อนาฬิกามือหนึ่ง

    ตัวอย่างเช่น ผู้บริโภคในจีนมากกว่าหนึ่งในสาม (35%) กล่าวว่า พวกเขายอมจ่ายตั้งแต่ 5,000 ฟรังก์สวิสขึ้นไปเพื่อซื้อนาฬิกามือหนึ่ง ในขณะเดียวกัน สวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศสมีเพียงผู้บริโภคเพียงร้อยละ 8 และร้อยละ 2 ตามลำดับเท่านั้นที่จะยอมจ่ายเงินดังกล่าว

    ผู้บริโภคที่ซื้อนาฬิกาไว้เพื่อการลงทุนตั้งใจที่จะขายต่อในราคาที่สูงขึ้นมีสัดส่วนร้อยละ 36 หรือมองหาการกระจายช่องทางการลงทุน ร้อยละ 33 โดยผู้บริโภคในประเทศจีน ร้อยละ 55 สนใจเป็นพิเศษในการกระจายพอร์ตการลงทุนด้วยการซื้อนาฬิกา



ตลาดนาฬิกามือสองเติบโตต่อเนื่อง​


จากการที่ลูกค้าเกือบ 1 ใน 3 (ร้อยละ 31) วางแผนซื้อนาฬิกามือสองในปีหน้า และบริษัทต่างๆ ได้จัดทำช่องทางจำหน่ายสินค้ามือสองของแบรนด์ขึ้นมาเอง กลุ่มสินค้ามือสองจึงได้รับความสนใจ ผู้บริโภคนิยมซื้อนาฬิกามือสองกันมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มมิลเลนเนียล และ Gen Z

    โดยร้อยละ 48 ของผู้ตอบแบบสอบถามจากทั้งสองกลุ่มดังกล่าวระบุว่า พวกเขาสนใจซื้อนาฬิกามือสอง ส่วนสำหรับผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่แล้ว พบว่าแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้พวกเขาเลือกซื้อนาฬิกามือสองคือโอกาสที่จะได้ซื้อนาฬิกาหรูในราคาที่ถูกกว่า คิดเป็นร้อยละ 44 และการได้ซื้อรุ่นที่เลิกผลิตไปแล้ว คิดเป็นร้อยละ 29 นอกจากนี้ ร้อยละ 21 ยังระบุว่า พวกเขาเลือกซื้อนาฬิกามือสองด้วยเหตุผล ด้านสิ่งแวดล้อม
    ผู้บริหารที่ตอบแบบสอบถามมองตลาดรองในเชิงบวกมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยมากกว่าร้อยละ 70 มองว่าตลาดมือสองส่งเสริมการรับรู้แบรนด์และคุณค่าของแบรนด์ และพวกเขายินดีกับผลทางอ้อมในแง่ของการเพิ่มการรู้จักแบรนด์และการดึงความสนใจของผู้บริโภคให้กับอุตสาหกรรมนาฬิกาโดยรวม “ตลาดมือสองมีศักยภาพในการเติบโตมหาศาล” Szegedi กล่าวและเสริมว่า

    “เมื่อดูจากแนวโน้มในปัจจุบันและความจริงที่ว่าแบรนด์ต่างๆ ยังคงเดินหน้าลงทุนในด้านนี้ เราคาดว่า ขนาดของตลาดปัจจุบันที่ประมาณ 20 พันล้านฟรังก์สวิสจะเติบโตมากขึ้นในปีต่อๆ ไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีแนวโน้มว่าจะสูงถึงเกือบ 35 พันล้านฟรังก์สวิส ภายในสิ้นทศวรรษนี้ ซึ่งคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของตลาดหลัก”


ภาพลักษณ์ของแบรนด์หรือความยั่งยืน


    1 ใน 4 ของผู้บริโภคที่ตอบแบบสอบถาม การเป็นเจ้าของนาฬิกาข้อมือกลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเพิ่มขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาซึ่งสัดส่วนนี้ยิ่งสูงมากขึ้นในกลุ่มมิลเลนเนียล (ร้อยละ 35) และ Gen Z (ร้อยละ 33) การที่คนรุ่นใหม่หันมาสนใจนาฬิกาเพิ่มมากขึ้นทำให้เราสันนิษฐานได้ว่า ความยั่งยืนได้กลายมาเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญขึ้นมาก

    อย่างไรก็ตาม มีเพียงร้อยละ 32 ของผู้บริโภคที่ตอบแบบสอบถามเท่านั้นที่เชื่อว่าความยั่งยืนมีความสำคัญมากกว่าภาพลักษณ์ของแบรนด์และผู้บริโภคในจำนวนเดียวกันนี้กล่าวว่า หากชอบนาฬิกาสักเรือน พวกเขาจะไม่ได้สนใจเรื่องความยั่งยืน ในขณะที่ 1 ใน 5 (ร้อยละ 21) กล่าวว่า ภาพลักษณ์ของแบรนด์มีความสำคัญต่อพวกเขามากกว่าความยั่งยืน

    ทั้งนี้ อุตสาหกรรมนาฬิกามีมติร่วมกันอย่างชัดเจนว่า พวกเขาจำเป็นต้องมีส่วนช่วยในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้นและแบรนด์ต่างๆ ได้มีการดำเนินการในด้านนี้ไปแล้วหลายขั้นตอน

    ผู้บริหารในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ (ร้อยละ 64) มองว่า การจัดหาวัสดุอย่างมีจริยธรรมและประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในแง่ของความยั่งยืน ตามด้วยการรายงานผลการดำเนินงานและการปฏิบัติตามข้อบังคับ (ร้อยละ 21) และบรรจุภัณฑ์ (ร้อยละ 12)

    “แม้ว่าอุตสาหกรรม นาฬิกาสวิสจะเป็นอุตสาหกรรมที่มีมานานแล้ว แต่ก็เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ล้ำสมัยที่สุด" Karine Szegedi อธิบาย “จิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมนี้นับเป็นกุญแจสำคัญในการตามหาวัสดุใหม่ๆ ที่เป็นวัสดุหมุนเวียน มีความยั่งยืนมากขึ้น และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง”


อ่านเพิ่มเติม: SCB CIO แนะลงทุนตลาดหุ้นจีนหลังเปิดประเทศ



ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine