SCB CIO ปรับมุมมองการลงทุนตลาดหุ้นจีนเป็นบวก ให้น้ำหนักที่ตลาดหุ้น A-Share รับเปิดเมืองเร็วกว่าคาด ผนวกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหนุนการบริโภคฟื้นตัว พร้อมคาดธนาคารกลางจีนผ่อนคลายนโนบายการเงินและออกมาตรการสนับสนุนธุรกิจกลุ่มเปราะบางและกลุ่มเป้าหมาย โดยกลุ่มธุรกิจได้ประโยชน์ เช่น อินเทอร์เน็ต ท่องเที่ยวและสายการบิน บริการร้านอาหาร และ สุขภาพ
กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า SCB CIO ได้ปรับมุมมองการลงทุนที่มีต่อตลาดหุ้นจีนใหม่เป็นบวก (Positive) กับตลาดหุ้นจีน A-Shares และมีมุมมองค่อนข้างบวก (Slightly Positive) กับตลาดหุ้นจีน H-Shares
เนื่องจากการเปิดเมืองและเปิดประเทศที่เร็วกว่าคาด โดยมีลดระดับการจัดการโรคโควิด-19 ให้เป็นโรคติดเชื้อระดับ B ซึ่งเป็นระดับเดียวกับโรคไข้เลือดออก และอนุญาตให้ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศจีนไม่ต้องกักตัว มีผลตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2566 เป็นต้นไป
“เรามองว่า การเปิดประเทศครั้งนี้ มาจากแรงกดดันทั้งในประเด็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอลงอย่างมากและการชุมนุมประท้วงบนท้องถนนในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 โดยในช่วงแรกของการเปิดเมืองและเปิดประเทศ เราคาดว่า จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นจนอาจทำให้ตลาดกังวลกับประเด็นนี้ แต่เรามองว่า เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนในระยะข้างหน้า” กำพล กล่าว
สำหรับปัจจัยบวกอื่นๆ ที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนมีความน่าสนใจลงทุนมากขึ้น ได้แก่ การที่ทางการจีนผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลัง ซึ่งจะยังมีต่อเนื่องสำหรับระยะต่อไป คาดว่า ธนาคารกลางจีน (PBoC) จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมอีก ด้วยการปรับลดอัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ลงเพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีแรก และมีแนวโน้มออกมาตรการสนับสนุนธุรกิจที่เป็นกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มเป้าหมาย
ขณะที่รัฐบาลจีนมีแนวโน้มออกนโยบายการคลังที่เน้นกระตุ้นการบริโภคมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การปรับปรุงบ้าน สนับสนุนรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า และบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการดูแลผู้สูงอายุ ในส่วนของนโยบายภาคอสังหาริมทรัพย์ คาดว่า ทางการจีนจะออกมาตรการเยียวยาภาคอสังหาฯ เพิ่มเติม และการเปิดเมืองจะช่วยหนุนการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปให้ภาคอสังหาฯ ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้ค่อนข้างชัด
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มที่ได้ประโยชน์โดยตรง ได้แก่ กลุ่มอินเทอร์เน็ต มีทั้งผู้ให้บริการส่งอาหารในท้องถิ่น กลุ่มอี-คอมเมิร์ซ และกลุ่มที่พึ่งพารายได้โฆษณาออนไลน์
รวมถึงกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและสายการบิน ซึ่งเตรียมรับอานิสงส์ยอดการท่องเที่ยวในประเทศปรับตัวดีขึ้นค่อนข้างเร็วในช่วงไตรมาสที่ 2 และอาจฟื้นตัวไปสู่ระดับก่อนเกิดการระบาดได้ภายในสิ้นปี 2566 ส่วนการท่องเที่ยวระหว่างประเทศคาดการณ์ฟื้นตัวชัดเจนช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และฟื้นตัวไปถึงระดับก่อนการระบาดได้ภายในปี 2567
นอกจากนั้น กลุ่มบริการร้านอาหาร หรือ Catering ยังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากการที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการร้านอาหารมากขึ้น กลุ่มชุดกีฬา หรือ Sportwear เนื่องจากกิจกรรมการกีฬาต่างๆ กลับมาดำเนินการได้ตามปกติ และกลุ่มสุขภาพ หรือ Healthcare
เนื่องจากการเปิดเมืองนำไปสู่การใช้บริการโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น โดย SCB CIO ประเมินว่า ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ ร้านขายยา ผู้ผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ ผู้ผลิตชุดตรวจโควิด-19 ผู้ผลิตยาในการรักษาอาการโควิด-19 และผู้ผลิตยาที่เกี่ยวเนื่องกับไข้หวัดจะได้อานิสงส์เชิงบวก
ส่วนกลุ่มธุรกิจที่ได้อานิสงส์ทางอ้อมจากการเปิดเมือง ประกอบด้วย กลุ่มอุปกรณ์เกี่ยวกับทางรถไฟ เพราะทางการจีนมีแนวโน้มลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวเนื่องกับรถไฟมากขึ้น รองรับการจราจรของรถไฟโดยสารที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหลังเปิดเมือง กลุ่มระบบอัตโนมัติในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากเมื่อระบบโลจิสติกส์กลับมาเป็นปกติ ปัญหาห่วงโซ่อุปทานเบาบางลง ความต้องการระบบอัตโนมัติไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมก็จะกลับมาเพิ่มขึ้น
และสุดท้ายคือ กลุ่มสถาบันการเงิน เนื่องจากการเปิดเมืองจะช่วยหนุนสินเชื่อขยายตัว รายได้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย รายได้ค่าธรรมเนียม ทรงตัวหรือปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ก็มีแนวโน้มดีขึ้น จากความเสี่ยงภาคอสังหาฯ ที่ลดลง และงบดุลภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ฟื้นตัว
กำพล กล่าวเพิ่มเติมว่า เหตุผลที่ SCB CIO มีมุมมองบวกกับตลาดหุ้นจีน A-Shares มากกว่า H-Shares เพราะว่า เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าหุ้นของทั้ง 2 ตลาดนี้กับมูลค่าย้อนหลัง 5 ปี แล้วพบว่า มูลค่าตลาดหุ้น A-Shares ยังถูกกว่า H-Shares
ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าความเสี่ยงเรื่องการเพิกถอนบริษัทจีนออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ADRs Delisting) จะลดลง และความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบบนกลุ่มแพลตฟอร์มลดลงแล้ว ทำให้ตลาด H-Shares มีความน่าสนใจลงทุนมากขึ้น
แต่ตลาดฯ ก็ยังเผชิญปัจจัยกดดันจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนโดยเฉพาะจากประเด็นการกีดกันด้านเทคโนโลยี (Tech war)
อ่านเพิ่มเติม: ซัมซุง เปิดตัว SmartThings Station แพลตฟอร์มเพื่อบ้านอัจฉริยะ
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine