ชาญชัย ตระการอุดมสุข นายใหญ่คนไทย คนแรกแห่ง Mazda เซลส์ ประเทศไทย
รถยนต์ Mazda นับเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดประเทศไทย เห็นได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ เดือน ซึ่งต้องยอมรับว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Mazda ทำการบ้านสำหรับตลาดรถยนต์เมืองไทยได้เป็นอย่างดี เห็นได้จากยอดจำหน่ายรถยนต์ Mazda ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา (ม.ค.-มิ.ย.2559) ทั้งสิ้น 21,000 คัน หรือเติบโตกว่า 25.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2558
ช่วงที่ผ่านมา Mazda รุกตลาดรถยนต์อย่างหนัก โดยเฉพาะรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ (SUV) ไม่ว่าจะเป็น Mazda 2 ที่มียอดขายดีวันดีคืนในกลุ่มรถยนต์ Eco car และ Mazda 3 ที่ร้อนแรงในตลาดรถยนต์นั่งขนาดกลาง ส่งผลให้ Mazda มีส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 13% ขณะที่กลุ่มรถ SUV อย่าง CX3 และ CX5 ก็สร้างยอดขายเติบโตสูงถึง 160% ด้วยยอดขาย 4,512 คัน มีส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 18.6%
ความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ Mazda ประกาศถึงกับประกาศว่าสิ้นปีนี้ Mazda จะขอยืนอยู่ในตำแหน่งที่ 3 ของตลาดรถยนต์นั่งเมืองไทย ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 5% ของตลาดรถยนต์รวม
ล่าสุดต้นเดือนสิงหาคม 2559 Mazda สร้างความฮือฮาให้กับวงการรถยานยนต์ไทยอีกครั้งด้วยการประกาศแต่งตั้งคนไทยขึ้นมานั่งในตำแหน่งประธานบริหารซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของ Mazda เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด แทนผู้บริหารชาวญี่ปุ่น นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของค่าย Mazda และบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่แต่งตั้งผู้บริหารชาวไทยขึ้นมานั่งในตำแหน่งบริหารสูงสุดในครั้งนี้
และ ชาญชัย ตระการอุดมสุข คือประธานบริหารฯ คนใหม่ของ Mazda ประเทศไทย เข้ารับหน้าที่แทน มร.ฮิเดสึเกะ ทาเกสึเอะ ซึ่งรับผิดชอบตลาดประเทศไทยมานานกว่า 2 ปี โดย มร.ทาเกะซัง จะไปรับผิดชอบการทำตลาดรถยนต์ Mazda ในระดับ global แทน
Forbes Thailand มีโอกาสได้สัมภาษณ์ นายใหญ่คนใหม่ของ Mazda ถึงภารกิจและพันธกิจที่ ชาญชัย ต้องนำพาให้มาสด้า เดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและแข็งแรง และหากมองลึกลงไปในประวัติการทำงานของ ชาญชัย “บิ๊กบอส” คนใหม่ นั่นคือ “ลูกหม้อ” ที่เติบโตคู่ Mazda มานานกว่า 20 ปี นั่นเอง โดยเขาเริ่มตำแหน่งงานเป็น ผู้จัดการงานผลิตส่วนงานระบบส่งกำลัง (เครื่องยนต์) โรงงานผลิตรถยนต์ออโต้อัลลายแอนซ์ หรือ เอเอที ในสมัยเริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตเมื่อปีพ.ศ.2539 และคลุกคลีงานด้านการผลิตมาตลอด จนกระทั่งย้ายมานั่งบริหารมาสด้าอย่างเต็มตัวในฐานะรองประธานบริหารเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคม และขยับขึ้นมาเป็น ประธานบริหารในเดือนเดียวกัน
ชาญชัย เล่าให้เราฟังว่า แม้ว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมาอยู่แต่ในฝ่ายผลิตก็ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาแต่อย่างใด เขายืนยันว่าจะใช้ประสบการณ์ที่บริหารองค์กรขนาดใหญ่ในโรงงานเอเอที ที่ทำให้เขาได้ฝึกปรือและเรียนรู้ทักษะการการบริหารงานแบบสากลรวมถึงการบริหารงานกับวัฒนธรรมที่หลากหลายทั้งทางตะวันตกและญี่ปุ่นและการบริหารทีมงานและพนักงาน กว่า 10,000 คน ที่รองรับการผลิตรถยนต์มากกว่า 3 แสน คันต่อปี เพื่อส่งออกไปยังตลาดทั่วโลกกว่า 150 ประเทศ มาประยุกต์ให้เหมาะสมกับ Mazda ประเทศไทย
โดยมีภารกิจสำคัญที่ ชาญชัย ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนและคำมั่นสัญญาที่จะพา Mazda ก้าวไปข้างหน้า คือ
1.การสร้างแบรนด์ Mazda ให้เป็นแบรนด์ที่ลูกค้าเลือก ด้วยการพัฒนาคุณค่าของแบรนด์ Mazda ในทุกๆ ด้านที่ลูกค้าสามารถรับรู้ได้ทั้งด้านความรู้สึกที่ได้รับและการตอบสนองความต้องการของลูกค้า
2.การมุ่งเน้น ดูแลลูกค้าตลอดเวลาการครอบครองรถ Mazda อย่างดีที่สุด เพื่อสร้างความผูกพันกันในระยะยาว ความพึงพอใจของลูกค้าคือสิ่งที่เราให้ความสำคัญ “Customer Care” เพื่อให้ Mazda กลายเป็นแบรนด์ที่ลูกค้ารัก
3.การทำงานแบบไร้รอยต่อในทุกภาคส่วน ทั้งการขาย บริการหลังการขาย การผลิต รวมถึงการทำงานร่วมกับผู้จำหน่าย เพื่อนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า เป็น “One Mazda One Team” ที่ทุกคนล้วนแต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
4.การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ที่ทันสมัยในทุกๆ ปีเพื่อสร้างความแตกต่างในตลาดและนำเสนอสิ่งดีๆ ให้กับลูกค้าของเรา “Product and Technology Enhancement” และมีคุณภาพและมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก “Global Platform Global Standard”
5.ขยายและพัฒนาศักยภาพของเครือข่ายผู้จำหน่ายโดยเน้นการพัฒนาเชิงคุณภาพตลอดกับการสร้างเครือข่ายที่ครอบคลุมการดูแลลูกค้า Dealer Network Qualitative Growth and Coverage
6.ผลักดันให้ผู้บริหารคนไทยและพนักงานทุกคน ที่เป็นผู้มีความชำนาญและประสบการณ์ในการทำงานและมีความเข้าใจในตลาด และเข้าใจความต้องการของลูกค้าคนไทย ได้มีโอกาสบริการจัดการอย่างเต็มที่ในทุกๆ ฟังค์ชั่น เพื่อให้เกิดผลลัพธ์สูงสุดต่อลูกค้า “Maximize the expertise and empower Local Thai Management Team”
ชาญชัย ยังเน้นย้ำสิ่งที่ต้องเร่งพัฒนาเป็นอันดับต้นๆ คือ การบริการหลังการขายที่แม้ว่าในปัจจุบัน Mazda ได้พัฒนาและปรับปรุงในเรื่องนี้ไปมากแล้ว แต่เขายังจะเดินหน้าปรับปรุงบริการหลังการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้า Mazda ทุกคนไว้ใจที่ได้ใช้รถยนต์ Mazda รวมถึงการสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่องให้กับผู้แทนจำหน่ายที่มีอยู่ 140 แห่งทั่วประเทศ
นอกจากนี้ เขายังต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าชาวไทย เกิดความรู้สึกมั่นใจว่า การที่มีผู้บริหารเป็นชาวไทย จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อคุณภาพและบริการของ Mazda อย่างแน่นอน
“ความท้าทายในตำแหน่งนี้คือการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพราะอิมเมจของมาสด้าคือการมีผู้บริหารเป็นชาวญี่ปุ่นแต่เมื่อมีผู้บริหารเป็นชาวไทย ผมก็ต้องสร้างความมั่นใจให้กับพวกเขาว่าผู้บริหารคนไทยก็สามารถนำพาธุรกิจของมาสด้าไปได้”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพันธกิจและภารกิจของคนไทยคนแรกที่เข้ามารับผิดชอบในตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของ Mazda เซลส์ ประเทศไทย
TAGGED ON