สินค้าบิวตี้ แอคเซสเซอรี่ (Beauty Accessories) อย่างเช่นกิ๊บ หวี ยางรัดผม กรรไกรตัดเล็บ คือโปรดักต์กรุยทางให้ “จอยอัส” (JOYOUS) สร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตลอด 25 ปีผ่านการขายในช่องทางร้านสะดวกซื้ออย่าง “เซเว่น อีเลฟเว่น” จากเดิมที่ขายในร้านค้าปลีกท้องถิ่นเพียงอย่างเดียว และปัจจุบัน “จอยอัส” กลายเป็น SMEs ที่สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 300 ล้านบาท/ปีแล้ว
กวิน ศุภกฤตกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์ริช เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด เล่าย้อนความให้ฟังว่า บริษัทผลิตสินค้ากลุ่มบิวตี้ แอคเซสเซอรี่ (Beauty Accessories) อาทิ ยางรัดผม กิ๊บ หวี ฯลฯ มากว่า 25 ปี โดยมีช่องทางการจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกท้องถิ่นในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ
กระทั่งในปี 2542 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และบริษัทได้เล็งเห็นถึงโอกาสการเติบโตทางการตลาดผ่านช่องทางขายของร้านเซเว่น อีเลฟเว่น จึงตัดสินใจนำสินค้าเข้าไปเสนอขาย
“สินค้าของเราถือเป็นสินค้ากลุ่มใหม่ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ต้องมีการทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง โดยบริษัทได้รับคำแนะนำที่ดีจากทางทีม Merchandise และทีมจัดซื้อในเรื่องของแพ็กเก็จจิ้ง ตลอดจนข้อมูลด้านตลาดต่างๆ เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงสินค้า ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
นำมาสู่การได้มีโอกาสวางจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขา ที่ขณะนั้นมีเพียงกว่า 1,000 สาขาเท่านั้น ด้วยสินค้า 8 SKUs ประกอบด้วย ยางรัดผม กิ๊บและหวีต่างๆ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภค”
ปรับมุมมอง สะท้อนสู่ตัวสินค้า
ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา กวิน ยอมรับว่า ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องของช่องทางการจัดจำหน่ายและข้อมูลด้านการตลาด เดิมตลาดเป็นการขายแบบออฟไลน์ ลูกค้าต้องมาซื้อสินค้าเองที่ร้าน แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทุกคนต่างมุ่งสู่ตลาดออนไลน์เป็นหลัก ซึ่งทางบริษัทเองก็ได้จำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ของร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ด้วยเช่นกัน
ข้อดีของการทำตลาดออนไลน์ และการเกิดใหม่ของแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ รวมถึงการใช้โซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้น ทำให้เห็นข้อมูลด้านการตลาดแบบเรียลไทม์ เนื่องจากผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าส่วนใหญ่มักจะโพสต์และแชร์ภาพ พร้อมคอมเมนต์ต่างๆ ทันที ทำให้บริษัทรับทราบถึงความต้องการของลูกค้าได้ทันที ซึ่งทางบริษัทก็จะนำข้อคิดเห็นที่ลูกค้าทั้งชมและแนะนำกลับมาพัฒนาสินค้าต่อไป
“เดิมการจะได้มาซึ่งข้อมูลด้านความต้องการของลูกค้า ต้องอาศัยการทำวิจัยเพื่อรวบรวมข้อมูล แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการสามารถรับรู้ข้อมูลของผู้บริโภคได้โดยตรง ซึ่งถือเป็นเรื่องดี และหากได้รับโนว์ฮาวจากผู้ที่รู้จริงที่อยู่ในตลาดมานานก็จะช่วยซัพพอร์ตเรื่องข้อมูลเชิงลึกให้ได้ เพื่อช่วยพัฒนาสินค้าได้ดียิ่งขึ้น”
ผลของการปรับตัวอยู่เสมอสะท้อนมาเป็นผลงานของ “สตาร์ริช เอ็นเตอร์ไพรส์” ที่มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ ปีละ 300 ล้านบาท โดยผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปีมีดังต่อไปนี้
-ปี 2563 รายได้ 286.5 ล้านบาท กำไร 33.5 ล้านบาท
-ปี 2564 รายได้ 267.2 ล้านบาท กำไร 31.3 ล้านบาท
-ปี 2565 รายได้ 319.6 ล้านบาท กำไร 35.8 ล้านบาท
หมั่นเรียนรู้ เติมความคิดสร้างสรรค์ สู่การพัฒนาต่อยอด
แม้สินค้าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภคเป็นอย่างดี แต่ด้วยการที่สินค้าเป็นกลุ่มสินค้าบิวตี้และสินค้าแฟชั่นที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สินค้ายังคงตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค
โดย 3 หัวใจหลักที่ทำให้สินค้าขอบริษัทยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง คือ
1.หมั่นเรียนรู้ (Learning) : ผู้ประกอบการต้องรู้จักและเข้าใจลูกค้าเป็นอย่างดี หมั่นศึกษาเทรนด์ใหม่ๆ เพื่อนำมาพัฒนาสินค้า
2.มีความคิดสร้างสรรค์ (Creative) : นำข้อมูลต่างๆที่ได้จากการศึกษาเรียนรู้มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดสินค้าใหม่ๆอยู่เสมอ
3.พัฒนาต่อยอดให้เป็นจริง (Change) : หากดูแล้วว่าข้อมูลที่ได้รับเป็นความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง หรือสร้างความต่างและความหลากหลายให้กับตลาด ผู้ประกอบการควรพัฒนาสินค้านั้นให้เป็นจริง
จากการไม่หยุดที่จะเรียนรู้ และหมั่นเติมความคิดสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาต่อยอดสินค้า ทำให้ในปัจจุบันบริษัทมีสินค้าที่วางจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทั้งหมด 69 รายการ ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ประกอบด้วย
-JOYOUS สินค้าแบรนด์ดั้งเดิมของบริษัท ซึ่งมีสินค้าประเภท แหนบ ยางรัดผม กรรไกรตัดเล็บ กรรไกรตัดหนัง เป็นต้น
-JOYOUS Premium เป็นสินค้าต่อยอดจากแบรนด์ JOYOUS ที่มีความแตกต่างด้วยรูปแบบและลักษณะการใช้งานของสินค้า เช่น แหนบ พรีเมี่ยม ที่ผลิตจากวัสดุสแตนเลสหนา รวมถึงรายการพัฟแต่งหน้า พรีเมี่ยม ที่ผลิตจากวัสดุพัฟคุณภาพ ให้ผิวสัมผัสนุ่ม ยืดหยุ่น และไม่กินแป้ง/ครีมรองพื้น และกรรไกรตัดเล็บ พรีเมี่ยม ที่มีที่เก็บเล็บภายในตัว
-JOYCHEF สินค้าประเภทเครื่องใช้ภายในครัว เช่น มีดปอก ทัพพีตักข้าว และผ้าเช็ดมือ
-JOYUSE สินค้าของใช้ทั่วไป เช่น กุญแจล็อคและปลั๊กไฟอินเตอร์ โดยครอบคลุมในทุกระดับราคาตั้งแต่ 12-129 บาท
“การเติบโตอย่างยั่งยืนต้องมีพาร์ทเนอร์ที่ดี เพื่อช่วยซัพพอร์ตในเรื่องต่างๆ ส่วนตัวผู้ประกอบการเองก็จะต้องหมั่นเรียนรู้และเพิ่มเติมสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อก่อให้เกิดสินค้าใหม่ๆ ที่จะเข้ามาช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง หากผู้ประกอบการมั่นใจในตัวสินค้าก็อย่าได้ลังเลที่จะเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรด เพราะคู่ค้ายินดีที่จะช่วยคุณพัฒนาและเติบโตไปพร้อมกัน” กวิน กล่าวทิ้งท้าย
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 7 ปีในประเทศไทย มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ก้าวสู่ 700 สาขา
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine