กลุ่มบริษัทไทยเบฟลงทุน 9,000 ล้านบาทปีงบประมาณ 69 (1 ตุลาคม 2568 - 30 กันยายน 2569) ขยายต่อเนื่องธุรกิจสุรา เบียร์ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหาร พร้อมชู 2 กลยุทธ์หลัก คือ “Reach Competitivrly” และ “Digital for Growth” เพิ่มขีดความสามารถแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านวิสัยทัศน์ PASSION 2030
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (“ไทยเบฟ”) แถลงทิศทางธุรกิจ พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างการเติบโตระยะยาว ด้วยการประกาศแผนลงทุน 9,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2569 (1 ตุลาคม 2568 - 30 กันยายน 2569) ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่จะยังคงมีความท้าทาย
ฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เปิดเผยว่า บริษัทจะใช้เงินลงทุนทั้งหมด 9,000 ล้านบาทในปีงบประมาณนี้ แบ่งเป็นการลงทุนธุรกิจเบียร์ประมาณ 2,000 ล้านบาท ที่โรงงานผลิตในกัมพูชา คาดว่าจะสามารถเปิดได้ช่วง 2 เดือนต่อจากนี้ มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 50 ล้านลิตรต่อปี
ขณะที่อีก 2,000 ล้านบาทเน้นลงทุนธุรกิจสุราในเมียนมา พร้อมยกระดับและนำเสนอสินค้าพรีเมียมตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ สร้างความแข็งแกร่งสินค้าหลักและพัฒนาสินค้าใหม่ และอีก 4,000 ล้านบาทใช้ลงทุนในธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และที่เหลือ 1,000 ล้านบาทจะขยายธุรกิจอาหาร
ทั้งนี้ งบการลงทุนรวมที่ไทยเบฟใช้ในปีนี้ต่ำกว่าการลงทุนที่กลุ่มไทยเบฟใช้ในปีงบประมาณที่ผ่านมาซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 ที่ใช้ไปทั้งหมด 12,000 ล้านบาท

“ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายและไม่สามารถคาดการณ์ว่าอะไรจะเกิดในอนาคต เราจึงต้องลงทุนอย่างเข้าใจและให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่เร่งการลงทุนเพื่อให้เหมือนคนอื่นๆ เราไม่ปรับแผนธุรกิจ แต่เราเปลี่ยนวิธีที่จะเดินให้เหมาะสมกับสถานการณ์” ฐาปนกล่าว
ฐาปนกล่าวต่อว่าอีกว่า “ภาวะเศรษฐกิจทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคยังคงเผชิญความท้าทายจากการเติบโตที่ชะลอตัว ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวและการบริโภคที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ไทยเบฟยังคงมุ่งมั่นเสริมสร้างรากฐานธุรกิจให้แข็งแกร่ง พร้อมทั้งขับเคลื่อนกลยุทธ์ภายใต้ PASSION 2030 อย่างต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งมั่นในการเข้าถึงผู้บริโภค รวมถึงส่งเสริมศักยภาพบุคลากร และเสริมแกร่งตราสินค้าของเรา ซึ่งเราเชื่อว่ากลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างไทยเบฟให้มีความคล่องตัว แข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน ตอกย้ำความเป็น ‘ผู้นำที่มั่นคงและยั่งยืนของอาเซียน’ ในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร”

แผนการดำเนินงานภายใต้ PASSION 2030 ของไทยเบฟ จะมุ่งเน้นกลยุทธ์หลัก 2 ประการ ได้แก่ ‘Reach Competitively’ หรือ การเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ และ ‘Digital for Growth’ หรือ ดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต
สำหรับกลยุทธ์ ‘Reach Competitively’บริษัทจะขยายเครือข่ายการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทุกช่องทาง พร้อมการให้บริการที่เป็นเลิศไร้รอยต่อในระดับต้นทุนที่แข่งขันได้ผ่านโครงการ One logistics ขณะที่ ‘Digital for Growth’ จะเป็นการเสริมศักยภาพในการขยายธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสมรรถภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงาน ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงเครือข่ายคู่ค้าและผู้บริโภค เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
“ดิจิทัลจะทำให้เราได้เห็นความเคลื่อนไหวในตัวสินค้าของเรา เราไม่เพียงแต่จะบริการลูกค้าของเราแต่ต้องเข้าใจลูกค้าของลูกค้าของเรา ทั้งกลยุทธ์ ‘Reach Competitively’ และ ‘Digital for Growth’ จะช่วยเสริมสร้างรากฐานของไทยเบฟให้แข็งแกร่ง สามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ พร้อมทั้งเสริมแกร่งสถานะผู้นำตลาด และเสริมสร้างตราสินค้าที่แข็งแกร่งครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจในระยะยาว” ฐาปนกล่าว
สำหรับผลประกอบการของกลุ่มไทยเบฟในช่วง 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา มีรายได้จากการขายรวม 258,621 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้การบริโภคจะชะลอตัวลง
โดยธุรกิจสุรามีรายได้จากการขายงวด 9 เดือน ปี 2568 จำนวน 92,778 ล้านบาท ซึ่งทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ปริมาณขายรวมลดลงร้อยละ 0.8 โดย EBITDA ลดลงเป็น 22,161 ล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่ายการตลาดที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนเพื่อเสริมแกร่งตราสินค้าและสนับสนุนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่
ขณะที่ธุรกิจเบียร์ ในช่วง 9 เดือน ปี 2568 ธุรกิจเบียร์มีรายได้จากการขาย 96,497 ล้านบาท ซึ่งยังทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสภาวะตลาดที่ท้าทายในประเทศเวียดนาม แม้ว่าจะมีปริมาณขายรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 ก็ตาม
ด้านธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มีรายได้จากการขายช่วง 9 เดือน ปี 2568 ลดลงร้อยละ 0.7 จากปีก่อน เป็น 49,326 ล้านบาท แม้ปริมาณขายรวมจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4
ส่วนธุรกิจอาหารมีรายได้จากการขายช่วง 9 เดือน ปี 2568 ลดลงร้อยละ 1.4 จากปีก่อน เป็น 16,563 ล้านบาท อันเป็นผลจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายและความต้องการในตลาดโดยรวม
ฐาปนกล่าวว่า ผลประกอบการตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน ที่ลดลงเล็กน้อยเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นได้ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน จากผลกระทบเศรษฐกิจระดับโลก ที่เริ่มจากนโยบายของประธานาธิบดี Donald Trump ของสหรัฐฯ ทำให้การส่งออกมีอุปสรรค และส่งออกได้ลดลง ดังนั้นเมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจไม่เอื้อให้สร้างรายได้ที่เติบโตได้ บริษัทจึงต้องหันมาเน้นบริหารค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมเพื่อสร้างกำไรทดแทน ฐาปนคาดว่าผลประกอบการของไทยเบฟในปีนี้น่าจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้แต่แรกได้ เพราะการปรับตัวที่เหมาะสมทำให้ไทยเบฟผ่านสถานการณ์ที่หนักกว่านี้มาแล้วเมื่อ 5-6 ปีก่อนที่โควิดระบาด
“ภาพรวมเศรษฐกิจตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้ น่าจะเห็นสัญญาณที่ดีเพราะรัฐบาลนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ได้มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในทุกระดับ และมีแนวทางขับเคลื่อนงบประมาณการใช้จ่าย พร้อมกันนี้การ address speech ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในเวทีโลกที่ผ่านมา สะท้อนศักยภาพโดยรวมของประเทศ รัฐบาลมีเสถียรภาพและได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้น วันนี้เรายืนอยู่บนจุดยืนที่ชัดเจนและสร้างให้เห็นว่าอาเซียนคือโอกาส เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจทั่วโลกไม่ได้เติบโต” ฐาปนกล่าว

โสภณ ราชรักษา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา และผู้บริหารสูงสุดกลุ่มงานทรัพยากรบุคคลและสมรรถนะองค์กร กล่าวว่า บริษัทยังคงมุ่งมั่นเสริมแกร่งในฐานะผู้นำตลาดสุราในไทยและเมียนมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยกระดับกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้วยการนำเสนอสินค้าพรีเมียมเพื่อตอบโจทย์ความนิยมของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนในตลาดภายในประเทศ และขยายโอกาสในตลาดต่างประเทศ ด้วยการลงทุนเพื่อเสริมแกร่งตราสินค้าหลัก และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีเอกลักษณ์
ไมเคิล ไชน์ ฮิน ฟา ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเบียร์ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท เบียร์โค ลิมิเต็ด กล่าวว่า “เรายังคงมุ่งเน้นการบริหารกลุ่มผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับสถานะของตราสินค้าช้างในประเทศไทย และเสริมแกร่งความเป็นผู้นำตลาดของซาเบโก้ในประเทศเวียดนาม เพื่อวางรากฐานธุรกิจเบียร์ให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในทั้งสองตลาดหลัก”

ธุรกิจเบียร์ยังคงเสริมแกร่งแบรนด์ ‘ช้าง’
สำหรับสายธุรกิจเบียร์ในไทย นงนุช บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ ประเทศไทย กล่าวว่า “เรายังคงมุ่งมั่นเสริมแกร่ง ช้าง ผ่านการขับเคลื่อนนวัตกรรมและกิจกรรมการตลาด ภายใต้กลยุทธ์หลัก 6 ประการ ที่ครอบคลุมการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียม เพิ่มศักยภาพการกระจายสินค้า ยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน และพัฒนาการดำเนินงานด้านความยั่งยืน”
กลยุทธ์หลักๆ ประกอบด้วยการบริหารจัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์ เสริมแกร่งความเป็นผู้นำตลาดของช้างคลาสสิก ผ่านการขยายช่องทางจัดจำหน่ายและกิจกรรมการตลาดเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมาย การเสริมความแข็งแกร่งตราสินค้าช้างโคลด์บรูว์ เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตในตลาดแมสพรีเมียม พร้อมการขยายช่องทางจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่องทั้งการบริโภคที่บ้านและการบริโภคที่ร้าน
ด้าน เลสเตอร์ ตัน เต็ก ชวน กรรมการผู้จัดการของซาเบโก้ ซึ่งเป็นธุรกิจเบียร์ในเวียดนาม กล่าวว่า บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อเสริมสร้างตราสินค้า ขับเคลื่อนวัตกรรมผ่านการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในเวียดนามพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน และผลักดันเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง พร้อมรองรับการฟื้นตัวของตลาดในอนาคต
โดยมุ่งเน้นดำเนินกลยุทธ์หลัก 4 ประการ อันจะช่วยส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย การรักษาความเป็นผู้นำตลาดเบียร์อันดับ 1 ในเวียดนามของ Bia Saigon พร้อมทั้งเดินหน้าเสริมแกร่งความเป็นผู้นำตลาดสินค้าเมนสตรีม และเดินหน้าลงทุนด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตของรายได้ บริษัทเปิดตัวผลิตภัณฑ์เบียร์ 333 Pilsner และ Bia Saigon Chill ในรูปแบบกระป๋องขนาด 250 มล. เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับราคาเป็นพิเศษ และผู้ที่ต้องการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่น้อยลง นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว Bia Lac Viet รูปโฉมใหม่ที่มีความทันสมัยมากขึ้น เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับตราสินค้า รวมถึงจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งใหม่ขึ้นเพื่อพัฒนาสูตรและบรรจุภัณฑ์โดยเฉพาะ
ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ลงทุนต่อเนื่อง – ขยาย KFC เพิ่ม
โฆษิต สุขสิงห์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่และผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการประเทศไทย ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานดิจิทัลและเทคโนโลยี กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2569 นี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จะลงทุน 4,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนต่อเนื่องขยายฟาร์มโคนมในมาเลเซียตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และที่เหลือ 700-800 ล้านบาทเป็นการลงทุนในไทยด้านบรรจุภัณฑ์
นอกจากนี้จะลงทุนสร้างแบรนด์เครื่องดื่มในตลาดเมียนมา และขยายการกระจายสินค้าโออิชิในกัมพูชา รวมทั้งขยายพอร์ตเครื่องดื่มในต่างประเทศด้วย คาดว่ากลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ จะเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักในปีนี้ ปัจจุบันรายได้กลุ่มนี้คิดเป็น 5% ของกลุ่มไทยเบฟ หรือประมาณ 50,000 ล้านบาท

โฆษิตกล่าวต่อว่า ในปีนี้จะเปิด KFC 45 สาขา และพัฒนาแบรนด์ให้โมเดิร์นมากขึ้น และต้องทำแบรนด์โออิชิให้มาอยู่ในกระแสมากขึ้น เนื่องจากการแข่งขันสูงมาก ส่วน package food จะเป็น engine ให้กับกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในปีนี้ด้วย
ไพศาล อ่าวสถาพร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจอาหารด้วยกลยุทธ์ที่สมดุลระหว่างการขยายสาขาใหม่ การขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขายที่แท้จริง การเสริมแกร่งพื้นฐานทางธุรกิจ และการพัฒนาด้านความยั่งยืน เพื่อมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่น่าประทับใจ พร้อมสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้แก่ลูกค้า พนักงาน และชุมชน
กลยุทธ์หลัก 4 ประการที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจอาหารสู่ความสำเร็จในระยะยาว ได้แก่ การขยายสาขาใหม่ เพิ่มจุดให้บริการร้านอาหารในพื้นที่ยุทธศาตร์ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงร้านอาหารของกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนพัฒนารูปแบบร้านใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับทำเลและกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายและดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคใหม่ๆ
นอกจากนี้ยังขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขายในสาขาที่มีอยู่ ด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขายที่น่าสนใจ และการสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ และจะมีการปรับโฉมแบรนด์โออิชิบุฟเฟ่ต์ครั้งใหญ่ในอนาคต
ภาพ: ไทยเบฟ
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘เบียร์ชิงเต่า–คาราบาว–นามยง’ ผนึกกำลัง รุกตลาดเครื่องดื่มไทย-จีน ผ่านช่องทางการขายของคาราบาว
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine