"เพราะคุณภาพแบบญี่ปุ่น…ไม่ใช่แค่ความทนทาน แต่มองข้ามไปถึงความไว้ใจที่ส่งต่อสู่อนาคตที่ยั่งยืนได้"
นี่ไม่ใช่บทสรุป แต่เป็นเพียงหนึ่งใน Key Success สำคัญที่ทำให้นิปปอนเพนต์ ยืนหยัดในฐานะแบรนด์สีนวัตกรรมอันดับ 1 ของเอเชียจากประเทศญี่ปุ่น ทั้งในด้านการผลิตและจัดจำหน่าย ต่อเนื่อง 8 ปีซ้อน โดยดีเอ็นเอดังกล่าว ได้ส่งต่อมาสู่การทำงานบริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด อย่างเข้มข้น และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการนำเสนอมาตรฐานสีที่คิดอย่างละเอียดรอบคอบตามแบบฉบับญี่ปุ่น ที่ไม่ได้เป็นเพียงสีทาอาคารที่คิดครบ แต่คือสีทาอาคารที่พร้อมมอบความเชื่อมั่น สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ใช้งาน สังคม และโลก

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อ "มาตรฐานตามแบบฉบับญี่ปุ่น" ที่ผู้บริโภคทั่วโลกให้การยอมรับ ทั้งในแง่ของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คิดมาครบและพิถีพิถันในทุกรายละเอียด ถูกนำมาผสมผสานกับความต้องการของลูกค้าชาวไทย Forbes ชวนไปหาคำตอบจากตัวแทนสองผู้บริหารคนเก่ง "วัชระ ศิริฤทธิชัย General Manager และ ณรงค์ฤทธิ์ มาลัยนวล Marketing Director" แห่ง บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ที่จะมาไขความลับ เผยนิปปอนเพนต์ แบรนด์สีนวัตกรรมที่ถ่ายทอดจิตวิญญาณแบบญี่ปุ่นผ่านทุกอณูสีไปยังผนังบ้านและอาคาร ด้วยนวัตกรรมที่ไม่เพียงสร้างความสวยงาม แต่ยังรับประกันความคงทน การันตีความปลอดภัย เสริมสุขภาพ และเพิ่มความยั่งยืนแก่อาคาร สังคม รวมถึงโลกใบนี้ในหลากหลายมิติ

มากกว่าสีทาอาคาร แต่เป็นสีที่คิดเพื่อทุกคน
วัชระ ย้ำว่า มาตรฐานแบบญี่ปุ่นไม่ใช่แค่สวย แต่ต้องพิสูจน์ได้ ดังนั้น นิปปอนเพนต์ จึงไม่เคยหยุดพัฒนาให้ทุกผลิตภัณฑ์มีคุณภาพระดับ Innovative Global Standard เพื่อผู้ใช้งานชาวไทย อีกทั้งยังให้ความสำคัญด้าน Customer-centricity ที่ทุกสิ่งเริ่มต้นจากการให้ความสำคัญต่อผู้ใช้งานและยึดความต้องการของผู้ใช้งานเป็นที่ตั้ง ที่สำคัญทุกผลิตภัณฑ์สีนวัตกรรมของนิปปอนเพนต์ มีคุณสมบัติที่รับรองได้จากสถาบันที่เชื่อถือได้พร้อมรางวัลการันตีทั้งในและนอกประเทศ
"เราไม่ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เพราะอยากออก แต่เบื้องหลังการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือแม้แต่งานบริการของเรา ยึดลูกค้าเป็นที่ตั้งเสมอมา เรามองว่าความต้องการของลูกค้าหรือผู้ใช้งาน สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ดังนั้น สิ่งนี้คือความท้าทายให้เราได้มีโอกาสสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้า บวกกับด้วยสภาพแวดล้อม สภาพอากาศ ไปจนถึงกระบวนการและวัสดุในการก่อสร้างที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ที่ล้วนส่งผลต่อความสวยงามของสี จึงยากที่จะพัฒนาสีที่เป็น Global Paints ใช้เหมือนกันทั้งโลก การพัฒนานวัตกรรมเพื่อให้สีตอบโจทย์แต่ละประเทศจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ยกตัวอย่างประเทศไทย พอมีการปรับเปลี่ยนวัสดุก่อสร้าง จากการก่ออิฐฉาบปูน มาเป็นพรีคาสต์ อิฐมวลเบา ก็ต้องมีการปรับนวัตกรรมสีให้ตอบโจทย์กับผนังแต่ละประเภทด้วย เพื่อให้สีที่ทาออกมามอบทั้งความสวยงาม ความทนทาน และสร้างความคุ้มค่าให้กับผู้ใช้งานได้มากที่สุด เพราะอีกหนึ่งแนวทางปฏิบัติ เสมือนคติประจำใจของเราคือ "Think Global Act Local" ถึงแม้เราจะเป็นแบรนด์สีนวัตกรรมจากญี่ปุ่น แต่ก็มีการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าในแต่ละประเทศ เพื่อตอบโจทย์และแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้อย่างตรงจุด เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภคนั่นเอง

ขณะที่ณรงค์ฤทธิ์ เสริมว่า แม้นิปปอนเพนต์จะเป็นบริษัทระดับโลกก็จริง แต่มีการทำงานที่ยืดหยุ่น เข้าใจ Pain Point ของผู้ใช้งาน จึงเปิดกว้างให้นิปปอนเพนต์ในแต่ละประเทศ ไม่เพียงสามารถเข้าถึงนวัตกรรมระดับโลกจากศูนย์ R&D กว่า 30 แห่งทั่วโลก ที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านสีและการเคลือบผิว ยังสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานในแต่ละประเทศได้อย่างอิสระ
"อีกหนึ่งจุดแข็งที่สำคัญของนิปปอนเพนต์ คือ เป็น True innovator ตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบันก็ยังให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ Innovative Paints โดยนวัตกรรมต่างๆ ในผลิตภัณฑ์สีนิปปอนเพนต์ พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด "สีที่คิดเพื่อคุณ" (inspired by you) เพื่อร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ใช้งานและเมือง พร้อมสร้างอนาคตที่น่าอยู่ขึ้น ยั่งยืนขึ้นให้กับทุกคนอย่างแท้จริง" ณรงค์ฤทธิ์ กล่าว พร้อมยกตัวอย่างนวัตกรรมสีที่คิดเพื่อคุณ เช่น นิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ สีทาภายนอกเกรดอัลตร้าพรีเมียม ที่มากับนวัตกรรม Weatherbond เทคโนโลยีจากญี่ปุ่น ช่วยเสริมสร้างฟิล์มสีให้ผนังบ้านสวยเหนือกาลเวลา 15 ปี+, Nippon Paint Ultra Guard นวัตกรรมฟิล์มใสปกป้องสี เกรดอัลตร้าพรีเมียม รับประกันสีไม่ลอกสูงสุด 20 ปี และรับประกันสีไม่ซีดจางสูงสุด 7 ปี ครั้งแรกในประเทศไทย, นิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ เท็กซ์เจอร์ สีสูตรสร้างลาย ใช้งานง่าย ตอบโจทย์งานออกแบบยุคใหม่ พร้อมลดขั้นตอน ลดแรง ลดคาร์บอน, นิปปอนเพนต์ แอร์แคร์ สีทาภายในเพื่อสุขภาพ เกรดอัลตร้าพรีเมียม 15 ปี+ รายแรกในไทยกับตรารับรองระดับโลก GREENGUARD GOLD จาก UL สหรัฐอเมริกา เพื่ออากาศภายในบ้านที่สะอาดกว่า, นิปปอนเพนต์ เนเจอร์ แคร์ สีทาภายในเกรดอัลตร้าพรีเมียม มีส่วนผสมจากน้ำยางพาราธรรมชาติคุณภาพสูง รายแรกในเอเชีย ไม่มีสารพิษ ไร้กลิ่นฉุน และสนับสนุนเกษตรไทย
นอกจากนี้ยังมีสีเรืองแสง Lumi-Extra Paint, สีลอกได้ Peelable Coating, และสีนำไฟฟ้า Conductive Paint ต่อยอดสู่การออกแบบเชิงนวัตกรรม
"ทั้งหมดนี้เกิดจากการฟังเสียงลูกค้า ซึ่งเราแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ B2B และ B2C แยกเป็น
1. กลุ่มเจ้าของบ้าน เจ้าของอาคาร ที่เป็น End User เน้นสีสวย ทนทาน ส่วนราคาจะปรับตามงบประมาณที่คาดการณ์ไว้
2. ดีเวลลอปเปอร์ และผู้รับเหมารายใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่มอบความสวยงาม คุ้มค่า ดีต่อต้นทุน มีนวัตกรรม ทนทาน มอบความยั่งยืนให้กับสภาพแวดล้อม เพื่อเพิ่มโอกาสการขายหรือส่งมอบงาน
3. กลุ่มสเปเชียลลิสต์ เช่น ผู้รับเหมา ช่างสี มองเรื่องการใช้งานเป็นหลัก ผลิตภัณฑ์ควรใช้งานสะดวก ลดต้นทุน มีบริการที่ดี เพื่อหน้างานราบรื่น จบงานได้ไว
4. กลุ่มที่ปรึกษา นักออกแบบ กลุ่มนี้จะมองหาผลิตภัณฑ์ที่มอบความสวยงาม สร้างสรรค์งานได้โดดเด่นแตกต่าง ตอบโจทย์ลูกค้าและงานออกแบบ ดังนั้นเมื่อเรามีลูกค้าหลายกลุ่ม เวลาที่จะพัฒนานวัตกรรมหรือออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เราต้องมองให้รอบ เพื่อตอบโจทย์ทุกกลุ่มให้ครบ” วัชระขยายความเพิ่มเติม
ด้านณรงค์ฤทธิ์ กล่าวเสริมด้วยว่า ความต้องการของผู้ใช้งานยังสอดคล้องไปกับเทรนด์โลก ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของลูกค้า ยกตัวอย่าง กลุ่ม End User ตอนนี้ให้มาให้ความสำคัญกับเรื่อง Health and Wellness มากขึ้น และเทรนด์ Pet Parent ที่ยังมีแนวโน้มเติบโต ดังนั้น ฟีเจอร์สีทาบ้านที่มองหา จึงต้องปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัยและสัตว์เลี้ยง ขณะที่เทรนด์เรื่องความยั่งยืน ทำให้ลูกค้ากลุ่ม B2B ไม่ได้มองแค่เรื่องของต้นทุน แต่ใส่ใจไปถึงการเลือกใช้สีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพิ่มความยั่งยืนตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการลดการปล่อยคาร์บอน ช่วยลดอุณหภูมิในอาคาร ไปจนถึงกระบวนการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่โรงงาน การจัดการของเสีย และการขนส่ง

แต่งแต้มสีสันและเติมเต็มทุกพื้นที่ให้มีความหมาย
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะตอบโจทย์ผู้ใช้งานอย่างดีที่สุดนี้เอง ทำให้นิปปอนเพนต์ สามารถสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้กับผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง จนขึ้นแท่นเป็นผู้นำสีอันดับ 1 ในเอเชียและอันดับ 4 ของโลก กว่า 8 ปี ได้อย่างภาคภูมิ อีกทั้งยังสามารถคว้ารางวัลมากมายทั้งในประเทศไทย และนานาชาติ อาทิ รางวัลสุดยอดแบรนด์สีทาอาคารแห่งปี 2567 (Superbrands Thailand 2024), รางวัล Thailand Social Awards สำหรับการจัดอันดับ "แบรนด์ที่ทำผลงานบนโซเชียลมีเดียสูงสุด 3 อันดับแรกประจำปี 2567" ในกลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง, รางวัล Business+ Product of the Year Award 2024 ในประเทศไทย ในหมวด "วัสดุก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์" สำหรับผลิตภัณฑ์ Nippon Paint AirCare สีนวัตกรรมทาภายในเพื่อสุขภาพ เกรดอัลตร้าพรีเมียม ที่เน้นดูแลและส่งเสริมสุขภาพของผู้ใช้งาน ด้วยตรารับรองระดับโลก GREENGUARD GOLD รายแรกของวงการสีทาภายในของประเทศไทย คือมาตรฐานรับรองความปลอดภัยด้านคุณภาพอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Quality) ที่ออกโดย UL Environment (องค์กรระดับโลกด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมในสหรัฐฯ) เพื่อรับรอง "Zero VOCs" ใน Nippon Paint AirCare นวัตกรรมสีทาภายในเพื่อสุขภาพ ที่เรียกได้ว่าเป็นสีสุขภาพ ที่คิดเพื่อทุกลมหายใจอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ นิปปอนเพนต์ ยังคำนึงถึงการทำธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล ความรับผิดชอบต่อสังคม ความปลอดภัยของลูกค้า และการเติบโตของพนักงาน ขับเคลื่อนผ่านนโยบายและแนวปฏิบัติใน 6 ด้านหลัก ได้แก่
1. Governance – ธรรมาภิบาลที่โปร่งใส ผ่านนโยบายการกำกับดูแลกิจการที่มุ่งเน้นความโปร่งใสและการปฏิบัติตามกฎหมายกับทุกภาคส่วนแบ่งหมวดกฎหมายที่เกี่ยวข้องออกเป็น 17 หมวด เพื่อความชัดเจน ครอบคลุม และมีการติดตามทุก 6 เดือนและสื่อสารนโยบายกับพนักงานผ่านทั้งช่องทางออนไลน์และการประชุม รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องภายนอกผ่านเว็บไซต์และการทำสัญญา
2. Customers – สร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ลูกค้าและสิ่งแวดล้อม ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยอิงจากข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภค พร้อมคำนึงถึงความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม เช่น สีปลอด VOCs และเปิดให้ลูกค้าหรือคู่ค้าเข้าตรวจเยี่ยมโรงงานและงานแสดงสินค้า เพื่อเสริมความไว้วางใจและความโปร่งใส
3. Employees – พนักงานคือรากฐานของการเติบโต เราส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานที่เท่าเทียม ปลอดภัย และเปิดโอกาสให้เติบโตในสายอาชีพ และ มีแบบสำรวจความผูกพันประจำปีและช่องทางแจ้งเบาะแสที่คุ้มครองผู้ร้องเรียนอย่างเข้มงวด
4. Suppliers – เครือข่ายซัพพลายเออร์ที่รับผิดชอบร่วมกัน ประเมินซัพพลายเออร์ด้านความยั่งยืนอย่างจริงจัง และไม่ร่วมงานกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน
5. Government & Regulators – ปฏิบัติตามกฎหมายและขับเคลื่อนนวัตกรรมสะอาด ด้วยการปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด พร้อมริเริ่มการผลิตที่ลดมลพิษ เช่น ลด VOCs และใช้เทคโนโลยีสีน้ำ อีกทั้งยังแสดงความโปร่งใสด้านภาษีและการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นระยะยาว
6. NGOs & Industry Groups – สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ร่วมมือกับองค์กรเพื่อสังคมทั้งในด้านการศึกษา อาชีพ และกิจกรรมจิตอาสา และสนับสนุนให้พนักงานของเรา ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อชุมชน สะท้อนบทบาทของแบรนด์ที่เติบโตเคียงข้างสังคม เช่นนั้น นิปปอนเพนต์ เชื่อว่า "ความยั่งยืน" ไม่ใช่แค่แนวคิด แต่คือการลงมือทำร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อสร้างอนาคตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
วัชระ กล่าวทิ้งท้ายถึงหมุดหมายของนิปปอนเพนต์ ว่า "เราเชื่อมั่นในการพัฒนาขีดความสามารถขององค์กรตลอดจนผลประกอบการทางธุรกิจ เพื่อสร้างมูลค่าระยะยาวให้กับผู้ถือหุ้น ลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ พนักงาน และชุมชนที่เรามีส่วนร่วม เราตั้งเป้าหมายสู่ความเป็นผู้นำตลาด แต่ในขณะเดียวกัน ดีเอ็นเอแห่งความเข้าใจลูกค้าและผู้ใช้งานทุกกลุ่มอย่างถ่องแท้ พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์นวัตกรรรมเพื่อความยั่งยืน ยังคงเป็นเสาหลักในการสร้างความแตกต่างระหว่างเราและคู่แข่ง ในการช่วยสร้างคุณค่าและแนวทางทางเศรษฐกิจและสังคมที่ดีขึ้น เพื่อสร้างโลกที่ดีกว่าสำหรับวันพรุ่งนี้"
ทั้งนี้กลยุทธ์สำคัญในการไปพิชิตเป้าหมายดังกล่าว คือ Customer- centricity มุ่งเน้นไปที่นวัตกรรมที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นศูนย์กลางในทุกพื้นที่ที่เราดำเนินธุรกิจ
"เรามองว่าการบริหารธุรกิจสีเหมือนการเล่นกอล์ฟ ที่ทุกคนต้องเริ่มจากการพัฒนาฝีมือของตัวเองให้ดี ตอบโจทย์ผู้ใช้งานให้เหนือกว่าคู่แข่งเพื่อ Gain Share ควบคู่ไปกับการทำการตลาดและการสร้างแบรนด์ ตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์สีระดับตำนาน ที่หลายคนเชื่อมั่นในคุณภาพอยู่แล้ว ให้เห็นถึงความทันสมัย เป็นแบรนด์สีนวัตกรรมเพื่อปัจจุบันและอนาคต ที่เหมาะสมกับผู้ใช้งานทุกเจน เราเชื่อว่า เมื่อเราก้าวสู่การเป็นเบอร์ 1 จะไม่เพียงส่งผลดีในแง่การเติบโตของธุรกิจ แต่ยังนำไปสู่การสร้างมาตรฐานใหม่ๆ ในวงการสีไทยอีกด้วย"

ปิดท้ายด้วยข้อมูลน่าสนใจถึงความหมายอันทรงพลังของโลโก้นิปปอนเพนต์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้ง แต่ยังคงยึดมั่นในปรัชญาเดียวกัน เช่นตัวอักษร "n" สีแดงตรงกลางโลโก้ แทนความใส่ใจที่มอบให้กับลูกค้าที่หลากหลาย อีกทั้งยังเปล่งประกายด้วยพลังของความกล้าและความมุ่งมั่น สื่อถึงจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์ที่ไม่หยุดนิ่ง สีแดงยังเป็นสีแห่งความกระตือรือร้นที่พร้อมจะขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างสรรค์สีสันที่ตอบโจทย์ความหลากหลายของผู้คน
"โลโก้ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ทางสายตา แต่เป็นบทสรุปของจิตวิญญาณแห่งนิปปอนเพนต์ แบรนด์ที่เชื่อในพลังแห่งสีสัน และภารกิจในการเติมเต็มชีวิตให้กับทุกพื้นที่อย่างมีความหมาย" ณรงค์ฤทธิ์กล่าวทิ้งท้าย
ส่วนพื้นหลังสีน้ำเงิน ทำหน้าที่เป็นเสาหลักของความมั่นคงและความไว้วางใจ สีที่สะท้อนถึงมาตรฐานอันเข้มข้น คุณภาพที่พิสูจน์ได้ และความรับผิดชอบที่นิปปอนเพนต์ยึดมั่นในการดูแลบ้าน อาคารและชีวิตของผู้คนมาตลอดหลายทศวรรษ ขณะที่กรอบสี่เหลี่ยมมุมโค้ง คือสมดุลระหว่างโครงสร้างและความอ่อนโยน รูปทรงที่ดูทันสมัยและเป็นมิตรนี้ สะท้อนถึงแนวคิดของแบรนด์ที่เชื่อว่า "ความแข็งแกร่ง" และ "ความอ่อนโยน" สามารถเดินร่วมกันได้ในงานออกแบบเพื่อรังสรรค์ความงดงามให้กับทุกชีวิต
"โลโก้ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ทางสายตา แต่เป็นบทสรุปของจิตวิญญาณแห่งนิปปอนเพนต์ แบรนด์ที่เชื่อในพลังแห่งสีสัน และภารกิจในการเติมเต็มชีวิตให้กับทุกพื้นที่อย่างมีความหมาย" ณรงค์ฤทธิ์กล่าวทิ้งท้าย