"ความท้าทายอย่างหนึ่งของผู้บริหารในปัจจุบัน คือ การปรับตัวให้รวดเร็วเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของลูกค้า เทคโนโลยี และคู่แข่งใหม่ๆ ซึ่งเราพร้อมนำจุดแข็งของเรา ก้าวข้ามคำว่า "ที่ปรึกษา" มาเป็นทั้ง "สมองที่ช่วยคิด" และ "มือที่ช่วยสร้าง" ให้กับผู้บริหาร ทำงานแบบครบวงจร อีกทั้งยังมีคนไทยที่มีประสบการณ์ในระดับสากล
และมีแพชชั่นที่จะผลักดันธุรกิจไทยให้แข็งแรงและยั่งยืน สามารถไปแข่งขันในเวทีนานาชาติ มาช่วยลูกค้าของเรา" ⠀ นี่คือมุมมองส่วนหนึ่งของศรา จงบัญญัติเจริญ Partner and Managing Director of LiB Consulting (Thailand) บริษัทที่ปรึกษาสัญชาติญี่ปุ่น ที่เข้ามาบุกตลาดไทย
อย่างที่รู้ว่าโลกของเรากำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงที่ทั้งยิ่งใหญ่และรวดเร็วกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรไทย จากอัตราการเกิดที่ลดลง และการเข้าสู่สังคมสูงวัย ส่งผลต่อขนาดของตลาดในการทำธุรกิจ รวมถึงกระแสความยั่งยืน ที่นำมาซึ่งข้อบังคับใหม่ๆ ซึ่งถือเป็นความท้าทายของประเทศไทยในฐานะ ผู้ส่งออก ที่ต้องปรับตัวให้ทัน พร้อมพยายามควบคุมต้นทุน เพื่อให้ยังสามารถแข่งกับประเทศอื่นได้
"นอกจากเทรนด์ดังกล่าว เรายังต้องรับมือกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้เส้นแบ่งของธุรกิจต่างๆ จางลง จากที่เคยมี คู่แข่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน กลายเป็นมีคู่แข่งจากธุรกิจอื่นๆ เข้ามาชิงส่วนแบ่งการตลาด ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจยานยนต์ที่ต้องรับมือกับคู่แข่งที่เป็นบริษัทซอฟต์แวร์หรือบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ เพราะยานยนตร์ในอนาคต นอกจากจะต้องอาศัยฮาร์ดแวร์ที่ดี ยังต้องการซอฟต์แวร์ มาสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับสินค้า รวมไปถึงการมาของ AI ซึ่งแม้ยังไม่มีใครรู้ว่า ขีดความสามารถของ AI จะไปหยุดที่ตรงไหน รู้แค่ว่าจะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น บริษัทต่างๆ จึงต้องเริ่มศึกษาและนำ AI มาเพิ่มขีดความสามารถในธุรกิจ"
อีกหนึ่งเทรนด์ที่ต้องจับตา คือ พฤติกรรมผู้บริโภคที่มีความต้องการที่หลากหลายขึ้น หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจน คือ ปัจจุบันเราจะเห็นกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ได้มองว่าตัวเองต้องเป็นเจ้าของสินค้าเสมอไป แต่มองตัวเองเป็น User (ผู้ใช้) มากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ผู้บริโภคบางส่วนมองว่าไม่ได้จำเป็นต้องมีรถเป็นของตัวเอง แต่ต้องการบริการที่สามารถพาตัวเองจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง เป็นต้น
จากเทรนด์ที่กล่าวมาข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า เรากำลังอยู่ในโลกใบเดิมที่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป ดังนั้นโจทย์ของธุรกิจไทยวันนี้ ไม่ว่าจะยืนหยัดบนพื้นฐานของธุรกิจเดิม หรือต้องการขยายธุรกิจไปสู่น่านน้ำใหม่ๆ จึงไม่อาจพึ่งพาสูตรสำเร็จแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป แต่ต้องปรับตัวเพื่อก้าวให้ทันโลก พร้อมกับบริหารความเสี่ยงเพื่อรับมือกับอนาคตที่ไม่อาจคาดเดา
ทั้งนี้ ศรามองว่า LiB Consulting ประเทศไทยพร้อมเป็นหนึ่งในตัวช่วยที่จะทำให้ธุรกิจไทยสามารถฝ่าคลื่นการเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างแข็งแกร่ง เพื่อยืนหยัดอย่างยั่งยืน โดยอาศัยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในฐานะบริษัทที่ปรึกษาจากญี่ปุ่น ที่ให้คำปรึกษาบริษัทยักษ์ใหญ่ และ Startup ในญี่ปุ่นมากกว่า 1,000 บริษัท อาทิ Vortex, Nikken, Marubeni ฯลฯ มีบริการที่หลากหลาย อาทิ Top-line growth ทั้งด้านการขายและการตลาด Bottom-line growth เช่น BPR, Smart Factory ไปจนถึงการหา The New S Curve ให้กับธุรกิจ
"LiB Consulting ประเทศไทยกำลังจะครบ 10 ปี เหตุผลที่ตัดสินใจขยายธุรกิจมาประเทศไทย เพราะเห็นถึงดีมานด์ของธุรกิจไทย ที่ยังมีสัดส่วนการใช้บริษัทที่ปรึกษาเมื่อเทียบกับจีดีพีของประเทศไม่มาก เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ และญี่ปุ่น บวกกับอยากนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่มีมาช่วยให้บริษัทไทยเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากความท้าทายที่บริษัทไทยกำลังเผชิญเวลานี้ จะคล้ายกับบริษัทญี่ปุ่นในอดีต LiB Consulting ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า บนโลกนี้มีบริษัทที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไป อยู่ในประเทศญี่ปุ่นประมาณ 18,000 บริษัท อยู่ในอเมริกาประมาณ 500 บริษัท
แต่ถ้าโฟกัสเฉพาะประเทศไทยกลับมีบริษัทที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไปอยู่เพียง 13 บริษัทเท่านั้น เพราะธรรมชาติของธุรกิจไทยส่วนใหญ่ที่ตาย เพราะปรับตัวไม่ทันตามโลกที่เปลี่ยน ดังนั้นเป้าหมายของ LiB Consulting ประเทศไทยคือ อยากเห็นตัวเลขบริษัทไทยที่มีอายุ 100 ปีเพิ่มขึ้น"
คำถาม คือ แล้ว LiB Consulting ประเทศไทย มีหมัดเด็ดอะไรที่จะเข้ามาช่วยสร้างแต้มต่อให้กับธุรกิจไทย
ศรา ในฐานะคนไทยคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น MD ของ LiB Consulting ประเทศไทย ค่อยๆ เผยจุดเด่นของ LiB Consulting ประเทศไทย ว่า ในช่วงแรกที่ขยายธุรกิจมายังประเทศไทย LiB Consulting เน้นต่อยอดจากฐานลูกค้าเดิมที่เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาขยายธุรกิจในไทย แต่หลังจากสั่งสมประสบการณ์มาเรื่อยๆ จนมั่นใจแล้วว่าเข้าใจตลาดคนไทย นับตั้งแต่ปี 2018 จึงเริ่มหันมาโฟกัสบริษัทไทยอย่างจริงจัง ปัจจุบัน มีลูกค้าให้ความไว้วางใจมากมาย อาทิ ทรู คอร์เปอเรชั่น, พานาโซนิค, ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป ฯลฯ
"จุดแข็งของเรา คือ เราไม่ใช่แค่เข้าไปให้คำปรึกษา หรือช่วยวางกลยุทธ์ แต่เราเข้ามาช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง เพราะเราช่วยตั้งแต่การวางกลยุทธ์ไปจนถึงการลงมือปฏิบัติ มีทีมงานที่ไปลงหน้างานจริงๆ เพื่อเข้าใจอินไซต์ของลูกค้า หรืออย่างเวลาจะนำเทคโนโลยีเข้าไปทรานสฟอร์มธุรกิจให้ลูกค้า เราไม่ได้ใช้เทคโนโลยีเป็นตัวนำ แต่ตั้งต้นจากโจทย์ของลูกค้า เช่น ต้องการให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง ระยะเวลาในการผลิตตั้งแต่ต้นจนจบลดลง ลดข้อบกพร่องที่จะเกิดขึ้น เป็นต้น จากนั้นจึงสู่การวางกลยุทธ์ แล้วค่อยมองหาเทคโนโลยีที่ใช่จริงๆ มาตอบโจทย์ลูกค้า เพราะเราไม่ต้องการให้ลูกค้าลงทุนกับเทคโนโลยีที่ไม่จำเป็น หรือไม่สุดท้ายแล้วเทคโนโลยีกลายเป็นภาระของคนทำงาน"
นอกจากจุดแข็งในการเข้าไปต่อยอดธุรกิจเดิมของลูกค้าให้มีการทำงานที่ลีนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกหนึ่งความถนัดของ LiB Consulting คือ การเข้าไปช่วยพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ โดยอาศัยต่อยอดประสบการณ์จากการทำงานกับ Corperate VC ช่วยธุรกิจ Scale Up มามาก มาช่วยผลักดันธุรกิจไทยในการหา The New S Curve
"หลักการทำงานของเรา คือ กล้าคิดอะไรใหม่ๆ แบบคนอเมริกัน แต่ลงมือทำแบบลงละเอียดเหมือนคนญุี่ปุ่น ดังนั้นจะเห็นว่า ทีมของเราพร้อมฉีกกรอบการทำงานในแบบเดิมๆ ด้วยการนำ AI มาช่วยหาข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้ทีมทำงานได้เร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ก็ยังอาศัยความรู้และประสบการณ์ของทีมในการวิเคราะห์และประมวลข้อมูล เพื่อพัฒนาเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้าอีกครั้ง"
ในแง่การวัดผลงาน ศราบอกว่า LiB Consulting มีโปรเจกต์ที่ลงมือปฏิบัติ ได้ผลจริง 100% และภาพรวมของโปรเจกต์ทั้งหมด มีสัดส่วนความพึงพอใจของลูกค้าในระดับสูงถึง 90%
"ถ้าให้ลองเปรียบเทียบ LiB Consulting เป็นอะไรสักอย่างสำหรับลูกค้า ผมคิดว่าเราเป็นเหมือนชุดเกราะไอรอนแมน ให้กับลูกค้า เพราะเราเชื่อว่า กำลังพล และไอเดียของผู้บริหารแต่ละบริษัทมีอยู่แล้ว เราแค่เข้าไปช่วยเพิ่มขีดความสามารถ ช่วยฉายภาพเดิมผ่านมุมมองและข้อมูลที่กว้างขึ้น ทำให้หลายๆ อย่างขับเคลื่อนไปได้เร็วและมีกำลังมากขึ้น ที่สำคัญไม่จำเป็นต้องจ้างเราตลอด แต่คิดถึงเราในเวลาสำคัญ ที่ต้องการคนเก่งมาเสริมทีม อารมณ์เหมือน The Avengers ที่ออกโรงเฉพาะตอนมีศัตรู" ศรากล่าวทิ้งท้าย