อ่านกลยุทธ์ BDMS Wellness Clinic ดันไทยสู่ Wellness Hub เชื่อมโยงแผน Dubai Health Strategy 2026 ชู "การมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ" - Forbes Thailand

อ่านกลยุทธ์ BDMS Wellness Clinic ดันไทยสู่ Wellness Hub เชื่อมโยงแผน Dubai Health Strategy 2026 ชู "การมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ"

​    บนโลกใบเดิมที่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและมุมมองความคิดของคนในยุคนี้ไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เว้นแม้แต่นิยามความร่ำรวยของคนยุคนี้ ที่ไม่ได้วัดแค่การมีทรัพย์สินเงินทองอีกต่อไป แต่หมายรวมไปถึง ความร่ำรวยสุขภาพ หรือการได้เป็นเจ้าของสุขภาพที่ดี นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยเฉพาะเมืองดูไบ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งประเทศที่เปี่ยมด้วยความมั่งคั่งและศักยภาพทางเศรษฐกิจอันแข็งแกร่ง ถึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพองค์รวมของประชากรภายในประเทศ


​    ทั้งหมดนี้ สะท้อนได้จากการกำหนดวิสัยทัศน์ด้านสุขภาพในระยะยาว ภายใต้แผนยุทธศาสตร์สำคัญอย่าง Dubai Health Strategy 2026 ซึ่งประกอบไปด้วย 4 เสาหลัก ได้แก่ การส่งเสริมสุขภาพและวิถีชีวิตของประชาชน การยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของบริการสุขภาพ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้ในการดูแลสุขภาพ ตลอดจนการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน


นายแพทย์ ตนุพล วิรุฬหการุญ หรือ คุณหมอแอมป์ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก
และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)

​    หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วทำไมการมีสุขภาพที่ดี ถึงเป็นสิ่งที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้ความสำคัญ แล้วแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว เกี่ยวข้องอย่างไรกับประเทศไทย

    ต้องบอกว่าแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวนั้น สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของนายแพทย์ ตนุพล วิรุฬหการุญ หรือ คุณหมอแอมป์ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ที่มุ่งมั่นผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น "Wellness Hub" ระดับโลก โดยเน้นการให้บริการสุขภาพที่มีคุณภาพระดับสากล ผสานกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชากรโลกในอนาคตเป็นอย่างมาก จึงทำให้ล่าสุด คุณหมอแอมป์ ได้รับเกียรติจากสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้าร่วมบรรยายในงานสัมมนาด้านสุขภาพ ภายใต้หัวข้อ "Wellness Hub Thailand: The Future of Global Wellness" ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และวิสัยทัศน์ด้านการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันในบริบทระดับโลก

    ในงานนี้ คุณหมอแอมป์ ได้ถ่ายทอดประสบการณ์และแนวคิดในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Wellness Hub Thailand หรือ ศูนย์กลางแห่งการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและการดูแลแบบองค์รวมระดับสากล ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ ในการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการสร้างคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนให้กับประชากรในระดับนานาชาติ


​นายแพทย์ ตนุพล วิรุฬหการุญ หรือ คุณหมอแอมป์ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก
และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)

​    เมื่อช่องว่างระหว่างการมีอายุยืนกับการมีสุขภาพที่ดี กลายเป็นความท้าทาย

    ทั้งนี้ คุณหมอแอมป์ ได้ฉายภาพให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างอายุขัยกับอายุของการมีสุขภาพที่ดีอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญของระบบสุขภาพทั่วโลกอย่างน่าสนใจว่า จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ในระหว่างปี พ.ศ. 2543 ถึง พ.ศ. 2562 อายุขัยเฉลี่ยของประชากรโลก (Lifespan) เพิ่มขึ้นจาก 66.8 ปี เป็น 73.4 ปี หรือเพิ่มขึ้นถึง 6.6 ปี จากความก้าวหน้าในการดูแลรักษาโรคและการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพในหลายประเทศ แต่ตัวเลขอายุขัยดังกล่าวกลับไม่ได้สะท้อนถึง "คุณภาพของชีวิตที่ยืนยาว" เนื่องจากค่าเฉลี่ยของช่วงชีวิตที่มีสุขภาพดี (Health Span) หรือช่วงเวลาที่บุคคลสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพโดยไม่เจ็บป่วยหรือมีข้อจำกัดด้านสุขภาพ กลับอยู่ที่เพียง 63.7 ปี เท่านั้น

    ทั้งนี้ หากโฟกัสเฉพาะในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีงานวิจัยระบุว่า ประชากรในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีค่าเฉลี่ยอายุขัยที่สวนทางกับค่าเฉลี่ยของช่วงอายุที่มีสุขภาพดีมากถึง 10 ปี เพราะแม้ประชากรในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะมีอายุขัยเฉลี่ยที่น่าพึงพอใจอยู่ที่ 76.1 ปี ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกที่สะท้อนถึงพัฒนาการด้านการแพทย์และการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพที่ดีขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่กลับมีช่วงเวลาของการมีสุขภาพดี อยู่ที่เพียง 66 ปีเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าประชากรส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับภาวะเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรังต่างๆ หรือภาวะเสื่อมถอยของระบบต่างๆ ในร่างกาย เป็นระยะเวลานานถึง10 ปี ก่อนเสียชีวิต

    ทั้งนี้ หนึ่งในปัญหาสุขภาพสำคัญของชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คือ การเผชิญกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs (Non-Communicable Diseases) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของประชากรทั่วโลกในศตวรรษนี้ โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ปี 2022 ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังทั่วโลกมากกว่า 45 ล้านคน และกระตุ้นให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการดูแลสุขภาพเชิงรับ มาเป็นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันมากขึ้น

​    สำหรับชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ปัญหา NCDs ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องเร่งหาทางรับมือ เนื่องจากประชากรกว่า 77% ของประเทศเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง คิดเป็นจำนวนสูงถึง 16,100 รายต่อปี หรือเฉลี่ยประมาณ 2 รายต่อชั่วโมง โดยมีสาเหตุหลักของการเสียชีวิต ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคเบาหวาน

​    นอกจากนี้จากสถิติขององค์การอนามัยโลกในปี 2022 ยังระบุว่า ประชากรกว่า 6,966,723 ราย หรือกว่า 71.3% ของประชากรทั้งหมด กำลังประสบกับภาวะ "อ้วน" ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการมีสุขภาพดีในระยะยาว อีกทั้งยังมีอัตราเสี่ยงที่สูงกว่าคนทั่วไปในการเกิดอันตรายต่อสุขภาพ นอกจากนี้งานวิจัยยังพบว่า เมื่อเกิดการระบาดของโรคต่างๆ ทำให้ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 2 เท่า ผู้ป่วยโรคหัวใจหรือเบาหวานมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 3 เท่า ผู้ที่เคยมีโรคหลอดเลือดสมองมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ในขณะที่ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงกว่าคนทั่วไปถึง 7 เท่า

​    อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้เป็นความท้าทายใหญ่ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนในภูมิภาค และกำลังผลักดันให้หลายภาคส่วนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Proactive Healthcare) มากยิ่งขึ้น แทนที่จะเน้นเพียงการดูแลสุขภาพเมื่อเจ็บป่วยหรือเกิดปัญหาแล้ว (Reactive Healthcare) เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม บนพื้นฐานของข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสุขภาพที่แม่นยำ หรือ Scientific Wellness กลายเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์อนาคต นำไปสู่การมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพอย่างไม่ต้องสงสัย


​    ภารกิจดันไทยสู่จุดหมายปลายทางด้านสุขภาพระดับโลก

    เมื่อความท้าทายด้านสุขภาพ กำลังทำให้โจทย์ในการดูแลสุขภาพเปลี่ยนไป การเดินทางไปเยือนสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ของ คุณหมอแอมป์ในครั้งนี้ จึงไม่ได้เป็นเพียงจุดเชื่อมสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก แต่ยังเป็นการส่งต่อวิสัยทัศน์ด้านสุขภาพภายใต้ศาสตร์แห่ง Scientific Wellness พร้อมทั้งขยายโอกาสในการนำเสนอศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางด้าน Wellness ระดับนานาชาติอีกด้วย เพราะด้วยศักยภาพที่หลากหลายของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น ภูมิประเทศที่สวยงาม หรือสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่เอื้อต่อการพักผ่อนและฟื้นฟูสุขภาพ ไปจนถึงอาหารไทยที่มีเอกลักษณ์ ทั้งในด้านรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ ตลอดจนความเชี่ยวชาญของไทยในด้านสมุนไพรและการแพทย์แผนไทย ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะศาสตร์นวดแผนไทย และ สปาไทย ที่กลายเป็นหนึ่งใน Soft Power ด้านสุขภาพอันทรงพลังของประเทศ ที่ผสานภูมิปัญญาโบราณเข้ากับการบริการที่ได้มาตรฐานระดับสากล จึงเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเฉพาะผู้ที่แสวงหาการผ่อนคลายและฟื้นฟูสุขภาพทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาณ


​    นอกจากนี้ ความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในด้านเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย และการมีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสูง ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะยกระดับความสามารถของประเทศไทยในการให้บริการด้านสุขภาพในระดับสากล

​    นับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจ BDMS Wellness Clinic ในการร่วมผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Wellness Hub Thailand ที่ไม่เพียงเป็นหนึ่งกลไกพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ แต่กำลังสร้างคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ ด้วยการสร้างคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนให้กับประชากรในระดับนานาชาติ